วันนี้ (3 มิถุนายน) กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ชี้แจงกรณีที่โพสต์ข้อความก่อนหน้านี้ว่า “เปิดหัวให้ทราบ แม้ 1 ตารางมิลลิเมตรเดียวจะไม่ยอมสูญเสีย อธิปไตยเหนือดินแดนไทยจะไม่ยอมให้ใครมาพรากไป ผมคนนี้จะไม่ยอม รัฐบาลอ่อนแอ ก็อ่อนไป ฝ่ายนิติบัญญัติต้องเข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้พี่น้องทัพภาค 2 ทุกนายครับ”
กัณวีร์ชี้แจงว่า ตนไม่ได้เฮี้ยนหรือผีเข้า เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทุกฝ่ายชอบธรรมในการใช้สันติวิธีจัดการข้อพิพาท และตนไม่ได้ปลุกปั่นให้เกิดสงครามและความรุนแรงที่จะกระทบต่อมนุษย์ทั้งสองประเทศในพื้นที่ และไม่สนับสนุนให้ทหารมานำการเมือง
ตนเองทำงานชายแดน โดยเฉพาะชายแดนไทยและเรื่องเขตแดน จึงทราบดีว่ากรณีพิพาทต้องใช้การเจรจา ไม่ใช่ใช้ความรุนแรง เรามีกลไกต่างๆ ก็ต้องใช้ให้เต็มที่
กัณวีร์กล่าวว่า ตนสะท้อนถึงการบริหารจัดการของรัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารที่มีอำนาจเต็มในการสั่งการทุกอย่าง จากการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน และจากข้อมูลทุกหน่วยแล้ว รัฐบาลต้องมองให้ขาดถึงการรุกคืบของรัฐบาลและองคาพยพกลไกรัฐของกัมพูชา
“ผมพูดชัดนะครับว่า ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘คนกัมพูชา’ ผมไม่ได้ใช้อคติและมีอคติใดๆ ระหว่างคนไทยกับคนกัมพูชาเลยแม้แต่น้อย ผมพูดถึงการวางตัวของรัฐบนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเวทีโลก” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์กล่าวต่อว่า การรุกคืบอย่างรวดเร็วของฝ่ายกัมพูชา ทั้งฝ่ายบริหารที่มีการส่งกองกำลังมาตรึงกำลัง ขุดเจาะแนวคูเลตเกือบ 1 กิโลเมตร นำทหารมาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมที่เป็น no man’s land และฝ่ายนิติบัญญัติที่ยกมือมีมติ 182 เสียง ให้ฟ้องศาลโลกเอาปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ปราสาทโดนตวล ช่องบกสามเหลี่ยมมรกต และเกาะกูดกลับมาเป็นของตนให้ได้
“นี่คือสิ่งที่กัมพูชาทั้งยั่วยุและดำเนินการตามกลไกฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติของเขา โดยให้ไทยและโลกเห็นว่าเขารุกอย่างรวดเร็วและทำแน่ๆ แต่พอหันมาดูไทยเราเอง ซึ่ง ‘เป็นประเทศของเรา’ กลับยืนตั้งการ์ดแบบหลวมๆ และให้เขาชกทั้งเหนือและต่ำกว่าเข็มขัดแบบผิดกติกา แต่ไม่ตอบโต้ เหมือนพร้อมพลีชีพแบบ ‘พระเอกหล่อๆ’ มันไม่ได้ครับ” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์ระบุว่า หลังจากผู้บัญชาการทหารบกทั้งสองประเทศพบกันและหารือหลังจากสถานการณ์การปะทะและมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ฝั่งกัมพูชากลับไปแสดงตนประกาศอย่างเป็นทางการถึงการมีสิทธิเหนือดินแดนทันทีตรงพื้นที่ no man’s land และยังปรากฏภาพ ฮุน เซน กับภรรยาใส่ชุดทหารที่ศาลาตรีมุข “ก็นี่ไง ชัดหรือไม่”
พอมาดูฝั่งนิติบัญญัติก็ยกมือกันท่วมท้นให้ฟ้องศาลโลกเหมือนคดีเขาพระวิหาร โดยมีอดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชาอย่าง สม รังสี ซึ่งอยู่วงในออกมาบอกว่า “แน่จริง เอาดิ” แสดงถึงสัญญาณบางอย่างหรือไม่
“เราต้องมองให้ออกนะ ผมในฐานะฝ่ายนิติบัญญัตินั่งอยู่ในสภาฯ ทราบดีครับว่า มันมีข้อมูลต่างๆ นานา ที่เกี่ยวข้องก่อนการที่จะยกมือทุกเรื่องว่าอะไรมันอยู่นอกเหนือจำนวนมือที่ยกผ่านหรือไม่ผ่าน มันแสดงว่าอะไรลับๆ ที่ไม่ออกมาตามจำนวนมือที่ยกนั้นเป็นความจริงที่ไม่ถูกเปิดเผย หากให้ตีความคงต้องเป็นเรื่องว่าทำไมต้องขู่ฟ้องศาลโลก ทั้งๆ ที่ตอนนี้ไทยไม่ยอมรับอำนาจเขตศาลโลกแล้วหลังคดีเขาพระวิหาร ฟ้องไปไทยก็ไม่รับอ่ะจะฟ้องทำไม” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์กล่าวอีกว่า เขตแดนไทย-กัมพูชาที่ยังมีปัญหากันอยู่มีทั้งหมด 30 จุด ตั้งแต่พื้นที่ ทภ.1 – ทภ.2 ตั้งแต่สระแก้ว อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งหากจะปะทะกันคงปะทะกันนานและรุนแรงมานานแล้ว นี่คือสถานการณ์ชายแดนของประเทศที่มีพื้นดินติดกันและเป็นผลพวงของช่วงล่าอาณานิคม ซึ่งเป็นตลอดทั้งรอบชายแดน ต้องใช้การเจรจาผ่านกลไกที่มีทั้งหมด ซึ่งตนย้ำว่าทราบดีและเห็นว่าทำอย่างไรในฐานะคนที่เคยทำงาน
“หากใครติดตามจริงๆ จุดปัญหาทั้ง 30 จุดกับกัมพูชานี้จะเห็นว่ามันขึ้นๆ ลงๆ มาตลอด หาทางออกกันไปตามความตกลงทวิภาคีทั้งแบบเจ้าหน้าที่ส่วนหน้าต่อส่วนหน้าและใช้กลไก JBC ตลอดมา มาปะทุตอนนี้ เพื่ออะไร การเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อจุดหมายที่ใหญ่กว่าที่มีเม็ดเงินเป็นล้านๆ บาท คือเรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล OCA ถูกทำให้หลุดจากประเด็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาไปเสียอย่างน่าฉงน การแบ่งปันโควตาการครอบครองของบริษัทพลังงานแก๊สธรรมชาติ คือบรรษัทข้ามชาติต่างๆ สำเร็จเรียบร้อยไปนานแล้ว แถมยังมีบริษัทพลังงานต่อแถวอยากได้อีกด้วยมากมาย แต่ติดอยู่ก็ตรงยังเป็นพื้นที่ข้อพิพาทนี่แหละ” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์ระบุว่า รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เคยประเมินว่าไทยจะสามารถมีเงินเพิ่มขึ้นจากแก๊สธรรมชาติในพื้นที่ OCA นี้อีกประมาณ 1.5 แสนล้านบาทต่อปี นี่ไม่รวมกับกำไรของพวกบรรษัทข้ามชาติที่จะได้ ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล
กัณวีร์กล่าวต่อว่า หากยังมีข้อพิพาท ก็ไม่สามารถทำประโยชน์ได้ “ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ไม่โง่ ฉลาดมาก และในเวลาเดียวกัน สม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้าน ถึงแม้ไม่อยู่ในกัมพูชาก็ไม่โง่และได้รับรู้เรื่องราวทันทีเช่นกัน ทุกคนว่าใช่มั้ย”
“เราถูกปิดกั้นความต้องการที่แท้จริงของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากฉากทัศน์ที่ถูกสร้างให้ความสนใจคนไทยหมู่มากถูกกระชากจากความเป็นจริงอย่างง่ายดายหรือไม่ ผู้มีอำนาจทั้งสองประเทศรู้ดีครับว่าเรื่องพื้นที่ทับซ้อนมันเรื่องใหญ่ เคยเปิดมาแล้ว และโดนตีตกอย่างแรงมาแล้วตั้งแต่ต้นรัฐบาลคุณเศรษฐาฯ ว่าอย่าเอาเรื่องผลประโยชน์มาเหยียบเหนือเรื่องดินแดน” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์กล่าวย้ำว่า คนที่บอกว่าเราก็หาประโยชน์ร่วมกันไปก่อน แล้วค่อยมาพูดคุยเรื่องดินแดน “จบครับ วิ่งปิดประตูไม่เป็นท่า” ตอนนี้สถานการณ์มันร่นเข้ามาจวนจะปิดประตูเวลาสภาฯ ไทย หากจะเอา OCA ให้จบก็ต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี มิเช่นนั้นเริ่มต้นใหม่และคงจะยากในสมัยหน้าปี 2570 แน่นอน เพราะกัมพูชาเล่นแง่กับไทยเยอะมาก ตนยังจำได้พื้นที่ OCA แบ่งกัน 5 หรือ 7 ส่วน ว่าควรแบ่งกันยังไง นั่นคือช่วงที่ตนยังจำความได้ ตอนนี้คงมีรายละเอียดมากกว่านั้น
“อย่าหลงทางครับ รัฐบาลตั้งการ์ดให้มั่น อย่าถูกบิดประเด็นให้เป็นเรื่องความมั่นคงอื่นๆ แล้ววกกลับมาตรงเรื่องผลประโยชน์ที่มันจะกลายเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างยาวนาน อย่าดีลลับๆ แล้วใช้กระบวนการดึงความสนใจชั้นเชิงการเมืองแล้วถูกล่อลวงด้วยกลไกฝ่ายบริหาร” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์ระบุว่า ที่ตนบอกว่า “เราต้องไม่สูญเสียดินแดนแม้แต่น้อย” ตนพูดในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องเทิดทูนกฎหมายสูงสุดของประเทศ คือรัฐธรรมนูญ ที่ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวไม่สามารถแบ่งแยกได้ ซึ่งดินแดนคืออธิปไตยที่ไม่สามารถถูกพรากไปได้ “มิใช่หรือ หรือใครมีเหตุผลเป็นอื่น”
“ส่วนเรื่องให้กำลังใจพี่น้องกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เห็นพี่น้องเราไปอยู่ในสภาวะสงครามเหมือนตัวผมเองที่เคยอยู่ในต่างประเทศ ผมเข้าใจดีว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรที่ต้องเผชิญหน้าและพร้อมที่จะเสี่ยงเสมอ มันผิดด้วยเหรอครับที่เราจะให้กำลังใจคนไทยด้วยกัน หรือใครมีเหตุผลเป็นอื่นครับ” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์ยืนยันในเรื่องการไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงทุกรูปแบบ โลกนี้ต้องการสันติภาพ ตนทำงานสันติภาพมานานและไม่อยากให้เห็นสงครามเกิดขึ้นในโลกใบนี้อย่างแน่นอน โปรดเชื่อมั่นในเรื่องนี้ แต่สถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่มีอยู่ตอนนี้มันดู ทะแม่งๆ เหมือนกับดีลปีศาจ เหตุผลที่เราเห็นกันอยู่มันไม่ใช่การก่อให้เกิดสงคราม อย่าหลงประเด็นกัน
“ผมจะทำหน้าที่อย่างสันติอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ เรื่องนี้ท่านประธานรัฐสภา/สภาผู้แทนราษฎร คงต้องรับทราบและพิจารณาอะไรบางอย่าง เนื่องจากสภาฝั่งกัมพูชาเขาก็เร่งดำเนินการหากเราเอาแต่นิ่งเฉย คงไม่เป็นการดีแน่ๆ” กัณวีร์กล่าวย้ำ