วันนี้ (3 ตุลาคม) คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้กล่าวหารือต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า นโยบายที่เป็นเรื่องของรัฐบาลชุดนี้คือ เงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น 5.6 แสนล้านบาท พรรคเพื่อไทยได้แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามพระราชบัญญัติพรรคการเมืองว่า จะใช้วิธีการบริหารจัดการงบประมาณและบริหารจัดการระบบภาษี หรือใช้งบประมาณปี 2567
โดยคำนูณกล่าวว่า ตารางปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้เปลี่ยนแปลงไทม์ไลน์ และมีผลบังคับใช้งบประมาณใหม่ช่วงเดือนเมษายน 2567 ดังนั้นจึงมองว่าไม่มีทางที่นโยบายเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะปรากฏอยู่ในงบประมาณ 2567 ได้ทั้งก้อน เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะสามารถเริ่มนโยบายดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี 2567 หรือรัฐบาลอาจเลือกวิธีใช้เงินนอกงบประมาณ คือการให้หน่วยงานและธนาคารรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน จัดทำโครงการเงินดิจิทัลไปก่อนและรัฐจะตั้งงบประมาณคืนให้เป็นรายปีเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้การดำเนินโครงการเงินดิจิทัลไม่อยู่ในงบประมาณปี 2567 และจะทยอยอยู่ในงบประมาณปีต่อๆ ไปอีกหลายปี
คำนูณกล่าวต่ออีกว่า จำเป็นที่จะต้องนำเรื่องนี้มาหารือในที่ประชุม สว. เนื่องจากไม่มีพื้นที่อื่นที่จะมาพูดในรัฐสภา และก่อนหน้านี้เคยถามนายกรัฐมนตรีในการแถลงนโยบายของรัฐบาลไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ว่าเงินที่ให้ธนาคารรัฐดำเนินไปก่อนตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง
จึงขอตั้งคำถามผ่านไปยังรัฐบาลถึงโครงการเงินดิจิทัล 10,000 ใน 3 ข้อ
- รัฐจะตั้งงบประมาณใช้คืนธนาคารออมสินในกรณีให้ธนาคารดำเนินการไปก่อนกี่งบประมาณ และงบประมาณละเท่าไร
- หากรวมโครงการพักหนี้เกษตรกรที่ต้องใช้เงินนอกงบประมาณ โดยธนาคาร ธ.ก.ส. จะต้องใช้งบประมาณเท่าไร และจะทยอยใช้คืนกี่ปี
- รัฐบาลควรจะต้องเปิดเผยสัญญาที่จะทำกับธนาคารออมสินและธนาคาร ธ.ก.ส. หรือไม่ โดยดอกเบี้ยที่จะใช้คืนและค่าบริการของธนาคารจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยที่สูงรัฐจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่ในการตั้งงบประมาณคืนธนาคารของรัฐ
ท้ายที่สุดขอหารือไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ว่าพระราชบัญญัติพรรคการเมืองที่กำหนดให้แต่ละพรรคการเมืองหาเสียงแต่ละนโยบายที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ว่าให้เพียงแต่แจ้ง กกต. เท่านั้นหรือไม่ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามที่แจ้งนโยบายต่อ กกต. หรือไม่
“ไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้ครับ แต่อยากให้เกิดความชัดเจน และอยากให้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายถึงโครงการนี้ตามสมควร และตั้งความหวังว่าวัตถุประสงค์ของโครงการนี้จะทำให้เศรษฐกิจหมุนเพิ่มขึ้น อย่าให้เป็นหนี้สินถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปในอนาคต”