ในวัยเลยกึ่งกลางของเลขอายุหลักสามและเขยิบเข้าใกล้ ‘หลักสี่’ เข้าไปทุกขณะลมหายใจ มีหลายช่วงเวลาที่ผมเกิดคำถามในใจต่อการดำเนินชีวิตของตัวเอง
ที่เป็นมาและเป็นไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ
ในขณะที่เพื่อนร่วมวัยที่เคยใช้วันเวลาร่วมกันตั้งแต่สมัยเด็กเริ่มเติบใหญ่และใช้ชีวิตอย่างที่สังคมมองว่าเป็นคนที่สมบูรณ์ มีบ้าน รถ ครอบครัว และทายาทสืบสายสกุล แต่กับตัวเองนอกจากรถคันเก่งแล้วชีวิตไม่มีอะไรสักอย่าง
คำเตือนจากคนรอบข้างทำให้ต้องหยุดคิด ทบทวน และไตร่ตรอง
จนกระทั่งครั้งหนึ่งผมเปรยเรื่องนี้ในการโพสต์สเตตัสยาวๆ บนหน้ากระดานข้อความโซเชียลมีเดียของตัวเอง และได้รับคำตอบจากคำถามที่ค้างคา “ในวัยเท่ากัน พี่ก็เคยไม่มีอะไรมาก่อน ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลาเราจะมีเอง”
คำคำนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงภาษิตจีนโบราณประโยคหนึ่ง ซึ่งผมอ่านพบในบทความของนักเขียนที่ชื่นชอบมากที่สุดในวัยนี้
ภาษิตจีนประโยคนั้นบอกว่า สือ เต่า ฮัว จิ้ว ไค
‘เมื่อถึงเวลา ดอกไม้จะบานเอง’
ในความหมายถึงสรรพสิ่งบนโลกเรานี้มีเวลาเป็นของมันเอง ช้าบ้างเร็วบ้าง ทุกอย่างย่อมมีวิถีและแนวทางของตัวเอง
เมื่อฟังคำนี้ ปริศนาใหญ่ในชีวิตของผมได้คลี่คลายลงอย่างน่ามหัศจรรย์ และมันทำให้ผมเข้าใจสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
แม้กระทั่งในเรื่องของเกมฟุตบอล
บิดเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน ในวันที่แฟนฟุตบอลทีมลิเวอร์พูลทั่วโลกได้ตื่นเต้นกับเจ้านายคนใหม่ที่น่าจะเป็นผู้จัดการทีมที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมากที่สุด และเหมาะสมกับทีมอย่างพวกเขามากที่สุด ประโยคสำคัญแรกๆ ที่เจอร์เกน คล็อปป์ สื่อสารกับทุกคนคือ “เราจะต้องเปลี่ยนจากคนที่มีความสงสัย ให้กลายเป็นคนที่มีความเชื่อให้ได้”
มันเป็นประโยคที่ทรงพลังอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะเมื่อออกจากปากของเขา หนึ่งในกุนซือลูกหนังที่ได้รับการยอมรับว่ามีทัศนคติดีที่สุดในโลก
แต่ในขณะเดียวกันทุกคนรู้ว่าการจะทำนั้นไม่ง่ายเหมือนการพูด และคล็อปป์ต้องการ ‘เวลา’ ไม่น้อย
เมื่อถึงการนำทีมลงสนามนัดแรก คู่แข่งในวันนั้นของพวกเขาคือ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ หนึ่งในทีมที่โดดเด่นและน่าจับตามองมากที่สุด ด้วยแนวทางการทำทีมแบบสโมสรที่มีแนวคิดสมัยใหม่ บริหารงานอย่างชาญฉลาด และมีเส้นทางอนาคตที่ยาวไกล
สเปอร์ส เป็นทีมที่น่าอิจฉาในสายตาของเหล่าเดอะ ค็อป ในเวลานั้น
อย่างไรก็ดีเกมวันนั้น (17 ต.ค. 2015) จบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 ในเกมที่ลูกทีมของคล็อปป์สู้ยิบตาเพื่อให้เกมนัดแรกกับเจ้านายใหม่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความผิดหวั้ง
นักเตะในชุดแดงเพลิงต่างไล่บอลกันจนน่าเห็นใจปอด ม้าม หัวใจ ที่ต้องทำงานอย่างหนัก
วันนั้นเป็นวันแรกที่เราได้เห็นสไตล์การเล่นในแบบ Gegenpressing หรือการเพรสซิงสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของคล็อปป์ ที่เคยนำโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ พิชิตแชมป์ฟุตบอลลีกเยอรมันได้ถึง 2 สมัย และพาทีมเข้าชิงโทรฟีใบใหญ่ที่สุดของยุโรปได้หนึ่งสมัย
มันเป็นสไตล์การเล่นที่น่าประทับใจครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่นักเตะลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นในวันนั้นไม่ใช่การเล่น Gegenpressing แม้แต่น้อย
พวกเขาแค่ ‘วิ่งสู้ฟัด’ ต่างหาก
ในช่วงระยะเวลาไม่นานหลังจากนั้น เมื่อช่วง ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ ได้ผ่านพ้นไป เหล่าแฟนบอลรวมถึงสื่อและผู้รู้จึงได้ประจักษ์ว่าลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นใกล้เคียงกับสิ่งที่คล็อปป์ต้องการเลย และทีมของพวกเขามีอะไรต้องทำอีกมากเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้น
สิ่งเหล่านี้เองคือความยากครับ มันเป็นบททดสอบที่หนักหนาที่ทุกคนต้องทำร่วมกัน ไม่ใช่แค่คล็อปป์ แต่รวมถึงลูกทีมและสตาฟฟ์โค้ชทุกคน
เรื่องราวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ครับ เราเคยเห็นโค้ชชั้นดีหลายคนล้มเหลวมานักต่อนักเมื่อพวกเขาไม่สามารถที่จะผ่านกระบวนการเหล่านี้ได้
ดอกไม้ยังไม่ถึงเวลาบาน จะบังคับขู่เข็ญให้มันบาน ย่อมเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือการอดทน เฝ้ารอ ด้วยความเชื่อว่าถึงเวลาแล้วกลีบดอกนั้นจะผลิออกให้เห็นความงามที่ซ่อนอยู่ข้างใน
โชคดีสำหรับลิเวอร์พูล ที่คล็อปป์เลือกจะทำเช่นนั้น
มีหลายครั้งและบางเวลาที่เขาเผชิญกับเสียงวิพากษ์อย่างหนักแม้กระทั่งกับแฟนฟุตบอลของตัวเอง ว่าทำไมจึงทำแบบนั้น ไม่ทำแบบนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรกระบวนทัพที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่แฟนบอลจะถูกใจกับการตัดสินใจของเขาทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น ในวันที่ลิเวอร์พูลเดินหมากผิดพลาดในการเจรจาคว้าตัว เวอร์จิล ฟาน ไดค์ นักเตะที่เคยมั่นใจว่าได้ตัวแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งจนประโคมข่าวใหญ่โต จนสุดท้ายเรื่องพลิกผัน เมื่อเซาแธมป์ตันไม่พอใจ และปฏิเสธที่จะปล่อยตัวให้ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด
ในวันนั้นหากเป็นผู้จัดการทีมคนอื่น พวกเขาอาจถอดใจและคิดถึงตัวเลือกใหม่ในตลาดแทน
แต่คล็อปป์ปฏิเสธจะทำเช่นนั้น เขาพร้อมที่จะอดทนและรอคอยต่อไป แม้จะรู้ว่านั่นหมายถึงการที่ทีมของเขาจะไม่อยู่ในสภาพ ‘พร้อม’ กับการต่อสู้ในฤดูกาลที่ยาวนานเหมือนที่ประเมินเอาไว้ก็ตาม
เช่นเดียวกับรายของ นาบี เกอิตา ไอ้หนูดาวรุ่งจากไลป์ซิก ที่ประสบปัญหาคล้ายกัน แต่รายนี้ใช้วิธีการที่แตกต่างด้วยการยอมตกลงซื้อล่วงหน้า และพร้อมจะอดทนรอเป็นเวลา 1 ปี
สิ่งที่คล็อปป์ได้รับจากการกระทำแบบนี้ คือการที่เขาได้ ฟาน ไดค์ ปราการหลังที่ดีที่สุดที่เขาหวัง และช่วยเปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลจากทีมที่มีเกมรับที่อ่อนแอ ให้กลายเป็นทีมที่มีเกมรับที่แข็งแกร่งดุจหินผาอย่างน่ามหัศจรรย์
ขณะที่ในแดนกลาง เกอิตา คือพลังขับเคลื่อนใหม่ที่ร้อนแรงของทีม และมีส่วนสำคัญอยู่ไม่น้อยใต้ชัยชนะรวด 5 นัด ซึ่งเป็นการออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ปี 1990 ถึงฤดูกาลแรกที่พวกเขาพลาดการได้แชมป์ในเกมนัดสุดท้าย เมื่อโดนอาร์เซนอลบุกมาชนะที่แอนฟิลด์) โดยที่ยังน่าจะทำได้ดีกว่านี้อีกมากด้วยซ้ำ
เหมือนกับ โจ โกเมซ กองหลังอนาคตไกลที่เหมือนจะมองไม่เห็นอนาคตตัวเองอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อสูญเสียตำแหน่งแบ็กขวาให้กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รุ่นน้องที่มาแรงกว่า แต่สุดท้ายกลายเป็นคู่หูที่ดีที่สุดในแนวรับของทีมเวลานี้
เหมือนกับ จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม กองกลางที่เหมือนจะหมดความหมายเมื่อทีมได้ทั้ง เกอิตา และ ฟาบินโญ มิดฟิลด์ชั้นดีจากลีกฝรั่งเศส แต่สุดท้ายกลายเป็น ‘หมายเลข 6’ (ในความหมายถึงกองกลางตัวรับที่เชื่อมทั้งเกมรับและเกมรุกได้) ที่ดีที่สุดในเวลานี้ แซงหน้าแม้กระทั่งกัปตันทีม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
และยังมีอีกหลายเรื่องราวที่คล็อปป์ เฝ้าอดทนประคบประหงมดอกไม้ในกระถางของเขา
เพื่อรอเวลาให้กลีบดอกได้ผลิบานเมื่อถึงเวลาของมัน
หากความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร ความอดทนก็ไม่เคยทำร้ายใครเช่นกัน วันนี้ความอดทนของเขาต่อแรงเสียดทานต่างๆ เริ่มที่จะได้รับรางวัลตอบแทนกลับมา
ชัยชนะเหนือสเปอร์สที่เวมบลีย์ ในเกมเมื่อคืนวันเสาร์ (15 ก.ย. 2018) ที่ผ่านมาคือ ‘คำตอบ’ ที่เสียงดัง และฟังชัดที่สุดต่อความพยายามและความอดทนทั้งหมดของเขา
ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่แข่งที่เคยอยู่เหนือพวกเขาก้าวหนึ่งได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งๆ ที่หากมองจากสิ่งที่เห็นในสนามแล้วเปรียบเป็นการแข่งรถ พวกเขายังใช้แค่ ‘เกียร์ 3’ ด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นวันที่ 3 ประสานในแนวรุกอย่าง โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ยังดูขาดๆ เกินๆ แม้ว่าจะเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ต้นฤดูกาลก็ตาม
พวกเขาหยุด แฮร์รี เคน ให้หายไปจากเกม ตัดคริสเตียน อีริกเซน ไม่ให้ใช้จินตนาการได้อย่างเคย แม้แต่ มูซา เดมเบเล กองกลางเชิงสูงที่แทบไม่เคยเสียบอลให้นักเตะลิเวอร์พูลมาก่อน เกมนี้กลายเป็นเกมที่เขา ‘เสียเหลี่ยม’ มากที่สุด
ประตูที่เสียในช่วงท้ายเกมจากตัวสำรองอันตรายอย่าง เอริค ลาเมลา อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนและให้บทเรียนบ้างว่า ความไม่เด็ดขาดอาจทำให้ชีวิตลำบากได้อย่างเหลือเชื่อ
แต่ในภาพรวมแล้วมันคือชัยชนะที่สวยงาม และเราเริ่มได้เห็นแล้วว่า ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ เดินทางมาไกลแค่ไหน
จากที่ทีมวิ่งสู้ฟัดอย่างเดียวเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน วันนี้พวกเขาเก่งพอที่จะเจาะเกมรับของสเปอร์ส แข็งแกร่งพอที่จะบดคู่แข่งจนเพลี่ยงพล้ำ และนิ่งพอที่จะตั้งรับด้วยความเยือกเย็น
ชัยชนะ 5 นัดรวดไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้ได้อย่างสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งของพวกเขาไม่ได้มีแค่แชมป์เก่าผู้ทรงพลานุภาพอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หากแต่ยังมีเชลซี ที่คืนชีพกลับมาเก็บชัยชนะรวดทุกนัดเช่นเดียวกัน และแซงหน้าเป็นจ่าฝูงไปแล้วด้วย
เพียงแต่สำหรับลิเวอร์พูล นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้องสนใจมากนัก
สิ่งที่พวกเขาควรสนใจและใส่ใจต่อไป คือกระถางดอกไม้แห่งความหวังที่อยู่ตรงหน้า
ขอเพียงอดทนและเฝ้ารอ
เมื่อถึงเวลา ดอกไม้จะบานเอง
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- ในเกมนัดแรกที่คล็อปป์คุมทีมพบสเปอร์ส วันนั้นผู้เล่นทั้งทีมลิเวอร์พูล วิ่งทำระยะทางรวมถึง 116 กิโลเมตร มากกว่าระยะทางรวมในสมัยที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อดีตผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าอยู่หลายกิโลเมตร (111.9 กิโลเมตรในเกมพบ นอริช ซิตี้)
- ใต้การคุมทีมของคล็อปป์ โรแบร์โต เฟอร์มิโน มีส่วนร่วมกับการได้ประตูของลิเวอร์พูลมากถึง 61 ประตู (38 ประตู, 23 การผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู) ซึ่งมากกว่านักเตะคนอื่นในทีมถึง 16 ประตู
- จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม ทำประตูในเกมเยือนให้กับลิเวอร์พูลเป็นเกมแรก และมาจากความพยายามครั้งที่ 55
- ลิเวอร์พูลยังมีช่วงโปรแกรมสุดโหดรออยู่อีก เริ่มจากพบ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก,18 ก.ย.), เซาแธมป์ตัน (พรีเมียร์ลีก, 22 ก.ย.), เชลซี (ลีกคัพ รอบที่ 3, 26 ก.ย.), เชลซี (พรีเมียร์ลีก (29 ก.ย.), นาโปลี (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, 3 ต.ค.) และปิดท้ายด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก, 7 ต.ค.)