×

5 ปี เจอร์เกน คล็อปป์ กับลิเวอร์พูล ความฝันที่เป็นจริงและเป้าหมายใหม่ที่ยากยิ่งกว่า

08.10.2020
  • LOADING...
5 ปี เจอร์เกน คล็อปป์ กับลิเวอร์พูล ความฝันที่เป็นจริงและเป้าหมายใหม่ที่ยากยิ่งกว่า

HIGHLIGHTS

8 mins. read
  • เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2015 อันเป็นจุดเริ่มต้นตำนานกุนซือชาวเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่แห่งแอนฟิลด์
  • ในเกมที่พบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งลิเวอร์พูลรอดพ้นจากความปราชัยได้อย่างหวุดหวิดจากประตูของ ดิว็อค โอริกิ (ผู้มักทำประตูช่วยชีวิตทีมในเวลาสำคัญ) คล็อปป์ได้สั่งให้ลูกทีมเดินไปขอบคุณแฟนบอลที่ยืนหยัดเคียงข้างไม่ไปไหน วินาทีนั้นเองที่สายสัมพันธ์ระหว่างนักเตะและลิเวอร์พูลได้ถูกสร้างขึ้นใหม่
  • กุนซือชาวเยอรมันทำเป็นการบริหารทีมอย่างพอเพียง ใช้ผู้เล่นเท่าที่มีในสโมสรโดยพยายามรีดเค้นศักยภาพของนักเตะออกมาให้ถึงขีดสุด และถ้าจะซื้อก็จะเลือกนักเตะที่ตอบโจทย์เท่านั้น ซึ่งหากเจอก็ไม่ลังเลที่จะซื้อเหมือนเช่น เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค
  • คล็อปป์ไม่ได้ชนะตลอด แต่ทุกครั้งที่พ่ายแพ้ก็พร้อมจะนำทีมกลับมายืนหยัดเพื่อต่อสู้ใหม่ทุกครั้ง
  • หลังเป้าหมายในการพิชิตแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จ คล็อปป์กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ที่ยากกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด ความพ่ายแพ้ในเกมล่าสุดต่อแอสตัน วิลลา 2-7 คือสัญญาณเตือนที่ดี

หมุนเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปในวันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นวันหนึ่งที่แฟนฟุตบอลทีมลิเวอร์พูลต่างรู้สึกตื่นเต้นและมีความหวังอีกครั้งหลังจากที่เมฆหมอกสีเทาปกคลุมเหนือน่านฟ้าหัวใจชาวแอนฟิลด์มานาน

 

อดีตมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษได้ประกาศการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ที่จะเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือไอริชแมนคนหนุ่มที่ทำได้แค่ ‘เกือบ’ จะพาเดอะ ค็อปถึงฝั่งฝันได้แล้วก่อนที่สุดท้ายจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมลูกหนังที่เจ็บปวดที่สุด โดยเฉพาะกับยอดกัปตันทีมอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ยังลืมสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ลง

 

เจอร์เกน คล็อปป์ ยอดโค้ชชาวเยอรมัน หนึ่งในโค้ชที่เก่งและได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลกจากผลงานในการนำโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ให้กลับคืนสถานะยอดทีมของวงการฟุตบอลเมืองเบียร์และสามารถพิชิตแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 สมัยติดต่อกันด้วยสไตล์การเล่นแบบ ‘Heavy Metal Football’ อันน่าตื่นเต้น ได้กลายเป็นนายใหญ่คนใหม่แห่งแอนฟิลด์

 

เรื่องนี้ที่แม้แต่เดอะ ค็อปเองยังต้องหยิกเนื้อตัวเองสักทีว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นเป็นความจริงไม่ใช่ฝันไป

 

คล็อปป์ผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ตอบรับคำเชิญของลิเวอร์พูล ด้วยเชื่อว่านี่คือสโมสรที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ของชีวิต (สำคัญกว่านั้นคือการทำตามคำแนะนำของภรรยา!) 

 

แน่นอนว่ากุนซือจากป่าดำผู้นิยามตัวเองว่าเป็น The Normal One ผู้ชายธรรมดาๆ นั้นตระหนักดีถึงเป้าหมายและความคาดหวังของแฟนบอลที่อยากเห็นทีมกลับไปสู่จุดสูงสุดที่พวกเขาเคยอยู่และห่างหายไปอย่างยาวนาน

 

ในวันที่เขารับตำแหน่งนั้นลิเวอร์พูลห่างหายจากการเป็นแชมป์ลีกสูงสุดมาเป็นระยะเวลา 25 ปีแล้ว โดยสถานะและองค์ประกอบต่างๆ นั้นพวกเขาเป็นรองคู่แข่งไม่น้อย

 

แต่คล็อปป์กลับมั่นใจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น

 

“ถ้าผมได้นั่งอยู่ตรงนี้สัก 4 ปี ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะมีอย่างน้อย 1 แชมป์” เขาบอกทั้งๆ ที่ในสัญญาฉบับแรกของเขาเชื่อว่ามีระยะเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้น!

 

เขาทำอะไรลงไปบ้างในการพาลิเวอร์พูลกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง ซึ่งอาจจะเหมือนล่าช้ากว่าคำสัญญาเล็กน้อย แต่ถ้าจะคิดเป็นการทำงานเต็มฤดูกาลจริงคล็อปป์ก็ทำได้สำเร็จในการคุมทีมแบบเต็มๆในฤดูกาลที่ 4 ของเขาพอดี

 

และหลังจากนี้นายใหญ่ชาวเยอรมันกำลังจะเจอความท้าทายอะไรอีกบ้าง?

 

คล็อปป์พานักเตะลิเวอร์พูลไปขอบคุณแฟนๆ เดอะ ค็อปที่อยู่เคียงข้างทีมจนสิ้นเสียงนกหวีดในเกมที่ไล่ตีเสมอเวสต์บรอมวิช อัลเบียน และกลายเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่สำคัญที่สุด

 

การแพ้นัดแรกที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด

ในการเริ่มต้นกับลิเวอร์พูล สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดที่คล็อปป์จับอาการได้คือการที่สโมสรทั้งสโมสร ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลไปจนถึงแฟนบอลนั้นขาด ‘ความเชื่อ’ ในตนเองและในกันและกันอย่างรุนแรง

 

Doubter หรือคนที่มีความสงสัย ไม่มีความเชื่อ คือสิ่งที่เขานิยามสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการทำงาน เพราะหากปราศจากความเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ดี และในท่ีมขาดความเชื่อใจกัน ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้

 

ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องการเห็นก่อน และเป็นสิ่งที่จัดการได้ด้วยตัวเองคือการที่อยากเห็นลิเวอร์พูลกลับมาเป็น Believer หรือคนที่มีความเชื่ออีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขนาดมีปัจจัยบวกจากการเข้ามาของผู้จัดการทีมคนใหม่ สไตล์การเล่นที่น่าตื่นเต้นกับการได้เห็นนักเตะในชุดสีแดงเพลิงวิ่งไล่คู่แข่งแบบไม่หยุด (แม้ว่ามันจะไม่ต่างอะไรจากการวิ่งสู้ฟัดก็ตาม) แต่ ‘แผล’ ที่อยู่ในใจโดยเฉพาะหลังจากความผิดหวังในฤดูกาล 2013-14 ที่พวกเขาเข้าใกล้แชมป์มากที่สุดแล้วยังไม่หายไปไหน

 

จนกระทั่งถึงในเกมที่ลิเวอร์พูลพ่ายแพ้เป็นเกมแรกภายใต้การคุมทีมของเขา ซึ่งเป็นการแพ้ต่อคริสตัล พาเลซ Bogey Team ตัวแสบคาแอนฟิลด์ คล็อปป์ได้เห็นเดอะ ค็อปถอดใจและเดินออกจากสนามไปทั้งๆ ที่เกมยังไม่หมดเวลา

 

ไม่ว่าการเดินออกจากสนามนั้นจะเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเจรจาหรือทนดูสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามไม่ไหว สำหรับคล็อปป์มันคือสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ และทำให้เขาเรียกร้องต่อแฟนบอลทุกคนให้มีส่วนร่วมในการสร้างสปิริตให้แก่สโมสรแห่งนี้อีกครั้งด้วยการยืนหยัดกับทีมเสมอไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ

 

จนกระทั่งในเดือนธันวาคมในเกมที่พบกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งลิเวอร์พูลรอดพ้นจากความปราชัยได้อย่างหวุดหวิดจากประตูของ ดิว็อค โอริกิ (ผู้มักทำประตูช่วยชีวิตทีมในเวลาสำคัญ) คล็อปป์ได้สั่งให้ลูกทีมเดินไปขอบคุณแฟนบอลที่ยืนหยัดเคียงข้างไม่ไปไหน

 

วินาทีนั้นเองที่สายสัมพันธ์ระหว่างนักเตะและลิเวอร์พูลได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ และเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา

 

ทีมชุดประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์ลีกแรกในรอบ 30 ปีที่คล็อปป์เลือกและปั้นทุกคนอย่างตั้งใจ

 

ทีมของคล็อปป์ 

ด้วยความที่ลิเวอร์พูลไม่ใช่สโมสรที่มีนายทุนจากตะวันออกกลางแบ็กอัพอยู่เบื้องหลัง กำลังทรัพย์ของพวกเขาเกิดขึ้นจากรายได้ที่สโมสรหามาได้ นั่นทำให้คล็อปป์ไม่สามารถจะเดินเข้าตลาดนักเตะและเลือกนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดที่มีในเวลานั้นมาร่วมทีมได้

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคล็อปป์จะหาทีมที่ดีที่สุดของเขาไม่ได้

 

สิ่งที่กุนซือชาวเยอรมันทำเป็นการบริหารทีมอย่างพอเพียง ใช้ผู้เล่นเท่าที่มีในสโมสรโดยพยายามรีดเค้นศักยภาพของนักเตะออกมาให้ถึงขีดสุด ซึ่งโดยแนวทางในการทำทีมของคล็อปป์จะใช้ผู้เล่นในจำนวนไม่มากจนเกินไป เพราะต้องการให้ทีมมีความเหนียวแน่น

 

นักเตะอย่าง อดัม ลัลลานา, โรแบร์โต เฟอร์มิโน, โจ โกเมซ, เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ดิว็อค โอริกิ เป็นตัวอย่างของนักเตะที่สืบทอดมาจากผู้จัดการทีมคนก่อนหน้าที่ยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทุกคนได้รับการพัฒนาจนถึงขีดสุดความสามารถของตัวเอง

 

บางคนที่ดูแล้วไม่เข้ากับระบบก็เปิดทางให้ย้ายออกไปเพื่อไปเริ่มต้นใหม่

 

อย่างไรก็ดี คล็อปป์มีผู้เล่นบางคนในบางตำแหน่งที่เขารู้ว่าจำเป็นที่จะต้องได้ตัวมาร่วมทีม และด้วยการทำงานร่วมกันกับ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส ผู้อำนวยการสโมสรที่มีทีมงานเบื้องหลังที่แข็งแกร่งในการวิเคราะห์ผู้เล่นทำให้ลิเวอร์พูลได้ผู้เล่นที่ ‘ตอบโจทย์’ เสมอ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง หรือเป็นคนที่คล็อปป์เลือกเพียงอย่างเดียวเสมอไป

 

ซาดิโอ มาเน เป็นหนึ่งในสตาร์หน้าใหม่คนแรกที่แฟนลิเวอร์พูลอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมจึงคว้าตัวกองหน้าที่ไม่มีความสม่ำเสมอมาจากเซาแธมป์ตัน แต่ก็ได้รับการพิสูจน์ในเวลานี้แล้วว่าดาวยิงชาวเซเนกัลคือคนที่ทีมขาดไม่ได้ 

 

โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ไม่ใช่เป้าหมายแรกที่คล็อปป์อยากได้ แต่คำแนะนำของเอ็ดเวิร์ดสทำให้คล็อปป์ยินดีจะต้อนรับกองหน้าชาวอียิปต์มาร่วมทีม และเขาก็ได้กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของเดอะ ค็อป และปัจจุบันยังคงรักษามาตรฐานการเล่นในระดับสูงเหมือนเดิม

 

คล็อปป์ยังเด็ดขาดพอที่จะกล้าทุ่มเงินสำหรับนักเตะที่รู้ว่า ‘จำเป็น’ และจะสามารถยกระดับทีมไปสู่ความสำเร็จได้ทันทีอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติโลกของกองหลังในขณะนั้น 75 ล้านปอนด์ และเปลี่ยนแปลงทีมได้ทันที ก่อนที่จะแก้ไขปัญหาในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ส่งผลให้ทีมพลาดแชมป์ยุโรปด้วยการคว้า อลิสซัน มาจากโรมา และกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทีมต้องการ

 

ขณะที่คนอื่นๆ ต่อให้ค่าตัวไม่แพงก็ไม่ได้แปลว่าแรงไม่มี ในทางตรงกันข้ามนักเตะอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่ได้มาจากฮัลล์ ซิตี้ ในราคา 8 ล้านปอนด์ได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก

 

กุนซือชาวเยอรมันยังเชื่อมั่นในนักเตะสายเลือดของสโมสรและพร้อมให้โอกาสเสมอ เราจึงได้เห็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ประจำทีม และปัจจุบัน นีโก วิลเลียมส์, เคอร์ติส โจนส์ และ รีส วิลเลียมส์ กำลังเดินตามมา

 

เกมปาฏิหาริย์ที่แอนฟิลด์ ผ่านด่านบาร์เซโลนาเข้ารอบด้วยคำว่า Never Give Up!

 

Never Ever Give Up!

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา คล็อปป์และลิเวอร์พูลแพ้ในเกมสำคัญมาไม่น้อย

 

ในฤดูกาลแรกที่เขาคุมทีม ยักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซีย์ไซด์สามารถเข้าชิงฟุตบอลถ้วยได้ถึง 2 รายการ แต่ก็แพ้ทั้งหมดต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในถ้วยลีกคัพ และเซบียาในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งรายการหลังนั้นเป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจอย่างมาก เพราะทีมได้ประตูขึ้นนำไปก่อนแต่สุดท้ายสู้ทีมแกร่งจากแดนใต้ของสเปนไม่ไหว

 

แต่แทนที่จะตีโพยตีพาย คล็อปป์กลับบอกว่าความพ่ายแพ้นี้เป็นแค่ ‘จุดเริ่มต้น’ เพราะเขาเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยอีกหลายครั้งแน่นอน

 

สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ผิดไปจากความจริง นอกเหนือจากผลงานในลีกที่ดีขึ้นในทุกฤดูกาลที่ผ่านไป ลิเวอร์พูลสามารถเข้าชิงฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่อย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในได้ฤดูกาล 2017-18 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 3 ของเขาในแอนฟิลด์

 

ทว่าเหมือนลิเวอร์พูลต้องคำสาปอยู่ พวกเขาพ่ายต่อเรอัล มาดริดแบบน่าเจ็บใจ เพราะนอกจากจะรู้สึก ‘ถูกกระทำ’ จากการบาดเจ็บของซาลาห์ที่โดน เซร์คิโอ รามอส เจตนาทำร้ายระหว่างเกมจนบาดเจ็บที่ไหล่ ผู้รักษาประตูอย่าง ลอริส คาริอุส ยังแจกโชคให้เรอัล มาดริดด้วยความผิดพลาดแบบเหลือเชื่ออีก 2 ประตู

 

แต่แทนที่คล็อปป์จะถอดใจ เขากลับทำให้ทุกคนประหลาดใจเมื่อมีคลิปปรากฏในโลกโซเชียลตอนเช้าวันรุ่งขึ้นในภาพของกุนซือชาวเยอรมันที่สวมกอดกับ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ทีมงานคนสนิทและแฟนฟุตบอลคนหนึ่งกระโดดร้องรำทำเพลงอย่างบ้าคลั่ง

 

เพราะคล็อปป์ไม่ต้องการให้ความผิดหวังกัดกินใจเป็นเวลานาน ในทางตรงกันข้ามยิ่งแพ้ยิ่งต้องลุกขึ้นสู้ใหม่ และสิ่งนี้ก็กลายเป็นต้นกำเนิดพลังไม่รู้จบของลิเวอร์พูล

 

พวกเขาเข้าชิงได้อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา (โดยหนึ่งในทางผ่านคือเกมปาฏิหาริย์ที่พลิกชนะบาร์เซโลนาได้ทั้งๆ ที่ตามหลัง 0-3 ในเกมแรก) และสามารถพิชิตแชมป์ยุโรปได้สำเร็จด้วยการสยบท็อตแนม ฮอตสเปอร์

 

และแม้จะพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลเดียวกันด้วยการเป็นรองแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 1 แต้มทั้งๆ ที่ตลอดฤดูกาลแพ้แค่เกมเดียว ลิเวอร์พูลกลับไม่สนใจสิ่งที่ผ่านไปแล้ว พวกเขาแค่ต้องการพยายามใหม่อีกครั้ง

 

ก่อนที่จะทำได้สำเร็จจริงในฤดูกาลที่แล้ว กับแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี

 

คล็อปป์เก็บความผิดหวังไม่ไหวหลังเห็นลูกทีมโดนแอสตัน วิลลาถล่มแชมป์ถึง 7-2 ในเกมนัดล่าสุด

 

ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่กว่า

แชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2019-20 คือจุดสูงสุดสำหรับลิเวอร์พูลและคล็อปป์ที่ทำตามคำมั่นสัญญาของเขาได้

 

หากให้เปรียบเป็นการเดินทางแล้วก็เหมือนเขาพาทุกคนเดินเคียงกันมา ผ่านเส้นทางที่โหดร้ายมากมาย ล้มคว่ำคะมำหงายหลายครั้ง ก่อนจะถึงจุดยอดเขาทันเห็นแสงแรกของวันใหม่ที่งดงามพอดี

 

อย่างไรก็ดี มันไม่ได้แปลว่าการเดินทางของคล็อปป์และลิเวอร์พูลจะจบลงแค่นี้

 

ในทางตรงกันข้ามพวกเขากำลังเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ที่ยากยิ่งกว่าเก่าเสียอีก กับการสานต่อความสำเร็จ รักษาสิ่งดีๆ ที่ทำร่วมกันมาซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าการพยายามคว้ามันมาให้ได้

 

ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 1992 กุนซือคนเดียวที่มีความสามารถในการรักษาความยิ่งใหญ่เอาไว้ได้ตลอดกาลคือ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 สมัย

 

ตลอดระยะเวลา 26 ปีในการคุมทีม เฟอร์กี้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำได้คือการสร้างทีมชุดใหม่ที่ดีพอสำหรับการสานต่อความสำเร็จไปเรื่อยๆ

 

เรื่องนี้คืองานต่อไปของคล็อปป์ที่ความจริงได้เริ่มขึ้นแล้วในการสานต่อความยิ่งใหญ่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าหลังจากผ่านจุดสูงสุดไปแล้วลิเวอร์พูลเริ่มแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ ‘ไร้เทียมทาน’ เหมือนในอดีต

 

จากการพ่ายแพ้ต่อวัตฟอร์ด 0-3 ในฤดูกาลที่แล้วมาจนถึงความปราชัยนัดล่าสุดต่อแอสตัน วิลลา 2-7 ที่เป็นการแพ้ที่เลวร้ายที่สุด เป็นสัญญาณเตือนคล็อปป์ได้เป็นอย่างดีว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นได้ผ่านไปแล้ว

 

มันชวนให้คิดถึงในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับดอร์ทมุนด์ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปเสียหมด

 

ผู้เล่นหลายคนในทีมอยู่ในช่วงวัยเดียวกัน และเกือบทั้งหมดกำลังเดินหน้าสู่วัยใกล้ 30 ปี ซึ่งเป็นความสุ่มเสี่ยงเพราะในอดีตลิเวอร์พูลเคยมีปัญหาเรื่องไม่สามารถหานักเตะอายุน้อยที่ดีพอจะทดแทนดาวเตะเจ้าประจำได้

 

ระบบการเล่นที่เคยใช้ได้ผลมาตลอด วันนี้เริ่มได้เห็นว่าคู่แข่งจับทางและจู่โจมได้อย่างเข้าเป้าขึ้นเรื่อยๆ

 

หลายทีมพยายามยกระดับการเล่นตามลิเวอร์พูลขึ้นมา และทำให้การแข่งขันยากขึ้นไปอีก

 

ดังนั้น งานใหม่ของคล็อปป์ไม่ใช่เรื่องง่าย กับสัญญาที่เหลืออีก 4 ปี ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะอยู่ที่แอนฟิลด์ก่อนจะไปหาความท้าทายครั้งใหม่ (หากไม่เปลี่ยนใจหรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเสียก่อน) ในตอนนี้คือการพยายามรักษามาตรฐานและสานต่อความสำเร็จของลิเวอร์พูลให้ได้

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพราะเป็นคล็อปป์มันจึงอาจเป็นไปได้!

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • จริงๆ แล้วในวันที่รับตำแหน่งคำว่า ‘แชมป์’ ที่เขาบอกนั้นไม่ได้ตั้งใจหมายถึงแชมป์ลีกสูงสุด เพราะคล็อปป์ตั้งใจจะหมายถึงแชมป์ถ้วยไหนก็ได้! 
  • ในสมัยเป็นผู้เล่นคล็อปป์เล่นให้กับไมน์ซ 05 ตลอดชีวิตการเล่น 12 ปี ก่อนจะคุมทีมอีก 7 ปีด้วยกัน
  • เห็นชอบใส่หมวกแบบนี้ คล็อปป์เคยมีปัญหาเรื่องศีรษะอยู่ สุดท้ายเขาตัดสินใจเข้ารับการปลูกผมและผลที่ออกมาก็ถือว่าเยี่ยมเลย!
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X