รายงานฉบับใหม่ระบุว่า อุณหภูมิโลกของเราเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้น เป็นมิถุนายนที่ร้อนที่สุดเท่าที่โลกเคยเผชิญมา ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่แผดเผาพื้นที่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก ขณะที่อุณหภูมิของมหาสมุทรก็เพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่น่าตกใจ
ผลการวิเคราะห์จาก Copernicus Climate Change Service (C3S) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหภาพยุโรป ระบุว่า เดือนที่แล้วเป็นเดือนมิถุนายนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ แถมยังมีอุณหภูมิสูงทิ้งห่างสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2019 อีกด้วย
รายงานระบุว่า 9 ใน 10 เดือนมิถุนายนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าวิกฤตโลกรวนอันเป็นผลพวงจากน้ำมือมนุษย์ได้ผลักดันให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ข้อมูลจาก C3S ยังระบุด้วยว่า อุณหภูมิผิวน้ำของมหาสมุทรก็ร้อนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นเป็นพิเศษในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทวีกำลังแรงขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก
โดยเมื่อไม่กี่วันมานี้ สถาบันด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประจำมหาวิทยาลัยเมน สหรัฐอเมริกา เพิ่งออกมาเปิดเผยข้อมูลสดๆ ร้อนๆ ว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม อุณหภูมิเฉลี่ยโลกร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกสถิติมา โดยวัดอุณหภูมิเฉลี่ยโลกได้สูงถึง 17.18 องศาเซลเซียส สูงกว่าสถิติเดิมที่เคยวัดได้ที่ 17.01 องศาเซลเซียส เมื่อหนึ่งวันก่อนหน้า ถือเป็นสถิติที่สูงเกิน 17 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ใช้ระบบดาวเทียมช่วยเก็บบันทึกสถิติมาตั้งแต่ปี 1979
เจนนิเฟอร์ มาร์ลอน (Jennifer Marlon) นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากโรงเรียนสิ่งแวดล้อมเยล (Yale School of the Environment) ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจัยดังกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ…ฉันคิดภาพไม่ออกเลยว่าฤดูร้อนสำหรับลูกๆ หลานๆ ของเราในอีก 20 ปีข้างหน้าจะร้อนขนาดไหน”
นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนเรามานานแล้วว่า อุณหภูมิที่ทะยานขึ้นเรื่อยๆ นี้คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกกำลังเจอกับวิกฤตสภาพอากาศ ขณะที่องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกหรือ WMO ก็เพิ่งออกประกาศกระตุ้นเตือนรัฐบาลทุกประเทศให้เตรียมรับมือสภาพอากาศแบบสุดขั้ว จากอิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วในเวลานี้ โดยอิทธิพลของเอลนีโญอาจส่งผลให้เกิดความร้อนที่สะสมตัวมากขึ้นในหลายส่วนของผิวโลกทั้งที่เป็นแผ่นดินและมหาสมุทร เป็นผลให้มีโอกาสที่จะเกิดการทำสถิติใหม่ของอุณหภูมิโลกที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้
แฟ้มภาพ: Smile19 Via Shutterstock
อ้างอิง: