ตลาดหลักทรัพย์มีโครงการ ‘Jump+’ ที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนแบบ ‘ก้าวกระโดด’ โดยที่โครงการนี้จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและการให้คำแนะนำแก่บริษัทจดทะเบียนในหลายๆ เรื่องที่จะทำให้กิจการเติบโต มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเติบโตจากภายในและการควบรวมกิจการที่เป็นประโยชน์กับบริษัท นอกจากนั้น ก็ยังช่วยให้กิจการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก
ผลที่คาดหวังก็คือ มูลค่าของกิจการของบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมในโครงการ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรในช่วงเวลา 2-3 ปีของโครงการ พูดง่ายๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็น ‘หุ้นขึ้น’ แบบ ‘ก้าวกระโดด’
ผมเองเห็นด้วยทุกประการ โดยเฉพาะในยามที่หุ้นโดยรวมมีราคาตกลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ผลประกอบการก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หุ้นจำนวนมากมีผลประกอบการที่ดีใช้ได้ มีความแข็งแกร่ง มีธุรกิจที่มั่นคงมาก และที่สำคัญ จ่ายปันผลได้งดงามสูงที่สุดเป็น ‘ประวัติการณ์’ เมื่อเทียบกับราคาหุ้น และแทบจะสูงที่สุดในโลกที่ประมาณเกือบ 5% ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด
ผมคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้ของประเทศไทยนั้น มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้คนขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นทั้งๆ ที่หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น มีความจำเป็นที่เราจะต้องมีมาตรการกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แบบ ‘เห็นผลทันที’ โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวไทยที่รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นว่าอย่างไรเสียบริษัทก็ยังอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เรายังต้องใช้สินค้าหรือบริการทุกวัน เราเชื่อมั่นว่าเป็นบริษัทที่ดีและมีบรรษัทภิบาลที่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ บริษัททำกำไรได้ดีต่อเนื่องไปอีกยาวนานและสามารถที่จะจ่ายปันผลงดงามให้ผู้ถือหุ้นแทบจะตลอดไป
วิธีที่บริษัทจะทำนั้น เพื่อที่จะมีประสิทธิผล จะต้องทำแบบเดียวกับแคมเปญขายสินค้าที่มักจะออกแนว ‘ลด แลก แจกแถม’ แต่ในกรณีนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ ‘ขายหุ้น’ ของบริษัท ถ้าจะเปรียบเทียบในช่วงนี้ก็จะเป็นคล้ายๆ ‘โปรโมชั่นไฟไหม้’ ของร้านสุกี้ที่มีการลดราคาอาหารลงหนักมากระดับที่นักกิน ‘พลาดไม่ได้’ ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดขายสุกี้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับอาหารแบบอื่น ร้านสุกี้ที่เคยดูเหงาๆ อาจจะเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีหรือคนกินสุกี้น้อยลงก็กลับคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
แคมเปญ ‘ขายหุ้น’ ในความหมายของผมก็คือ แนะนำให้บริษัทจดทะเบียนคิดว่าอะไรจะทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของตนเองในตลาด และเก็บไว้ยาวนาน ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละบริษัทก็อาจจะมีประเด็นที่แตกต่างออกไป แน่นอนว่าการเข้าร่วมโครงการ Jump+ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะดึงดูดคนที่ชอบหุ้นเติบโตเร็วเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ทำให้หุ้นขึ้นได้ในระยะยาว หรือขึ้นได้ทันทีถ้าเริ่มเห็นว่าบริษัทสามารถขับเคลื่อนโครงการได้แน่นอน
ส่วนตัวผมเองนั้น คิดว่าในยามนี้ สิ่งที่นักลงทุนสนใจเพิ่มขึ้นมากก็คือ ‘เงินปันผล’ แต่นี่ก็มีประเด็นว่าเงินปันผลนั้น บ่อยครั้งจ่ายแค่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี วิธีที่อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการอยากซื้อหุ้นก็คือ แคมเปญจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง หรือถ้าจะให้ ‘เปรี้ยง’ ก็คือ จ่ายทุก 3 เดือน ครั้งละ 2% ของราคาหุ้นที่ลงทุน และคนที่จ่ายในอัตรานี้ได้ก็คือหุ้นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งที่ล่าสุดนั้นจ่ายปันผลได้ปีละ 8% จากราคาหุ้นแล้ว
แน่นอนว่านี่คือ ‘แคมเปญ’ หรือ ‘โปรโมชั่น’ ที่มีอายุหรือมีเวลา อาจจะแค่ปีหรือสองปีเพื่อที่จะทำให้คนซื้อหุ้น ‘ตัดสินใจทันที’ ซึ่งถ้าคนจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ราคาหุ้นก็ควรจะวิ่งขึ้นไปได้
ถ้าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากต่างก็ออก ‘โปรโมชั่น’ ของตนเอง ซึ่งก็ทำได้หลากหลาย แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องตรงกับความต้องการของผู้ถือหุ้นหรือคนที่จะซื้อหุ้นลงทุนที่เป็น ‘ลูกค้า’ ตัวอย่างเช่น บริษัทออกมารับรองว่างวดหน้าและงวดต่อไปอีก 2-3 งวด จะเพิ่มอัตราส่วนปันผลที่เคยจ่ายในระดับ 50% ของกำไร เป็น 60% และ 70% ตามลำดับ หรือถ้าจะให้ ‘เปรี้ยง’ ก็อาจจะบอกว่าจะจ่าย 100% เลย นักลงทุนก็อาจจะสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้
ผมเองเคยสนใจ และ/หรือ ลงทุนกับบริษัทที่ดีจำนวนไม่น้อย แต่บางครั้งก็ต้องถอยหรือลงทุนน้อยกว่าที่ควรเพราะเหตุที่ว่าบริษัททำอะไรบางอย่างไม่ถูกใจ เช่นบริษัทชอบไปลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจอื่นที่ผมคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าบริษัทนั้นเสนอแคมเปญว่า บริษัทจะเลิกทำเรื่องแบบนี้ภายในช่วง เช่น 3 ปีข้างหน้า และบอกว่าจะนำเงินจำนวนนั้นมาซื้อหุ้นคืนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของบริษัท ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและสามารถจ่ายปันผลมากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนที่คิดแบบเดียวกับผมเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม หุ้นก็จะมีราคาหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที
เรื่องที่จะทำอะไรหรือสัญญาอะไรที่จะทำให้นักลงทุนตื่นเต้นและสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น สิ่งที่ทำหรือคำมั่นสัญญานั้นจะต้องมี ‘คุณค่า’ ในสายตาของนักลงทุน การเปิดรับฟังความคิดเห็นหรือการติดตามคอมเมนต์ในสื่อสังคมต่างๆ จะทำให้บริษัทรู้ว่าบริษัทควรจะทำอะไรหรือควรจะมีแคมเปญอะไรที่จะทำให้นักลงทุนสนใจมาซื้อหุ้นลงทุน ซึ่งจะทำให้หุ้นมีมูลค่ามากขึ้น นอกจากนั้น บริษัทก็จะใกล้ชิดกับนักลงทุนมากขึ้นและความไว้วางใจในตัวบริษัทก็จะมีมากขึ้น นี่จะเป็น ‘คุณค่า’ ให้กับตัวหุ้นและบริษัทในทุกด้านซึ่งรวมถึงการที่นักลงทุนจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทมากขึ้นด้วยหากว่ากิจการของบริษัทนั้นขายสินค้าผู้บริโภค
พูดถึงเรื่องนี้ ผมเองชอบใจบริษัทจดทะเบียนของเวียดนามที่เขาประกาศผลประกอบการ ‘ทุกเดือน’ ผมไม่แน่ใจว่าจะมีงบบัญชีละเอียดหรือมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน แต่ที่เห็นคือมีตัวเลขยอดขายและกำไรทุกเดือนซึ่งทำให้ผมสามารถติดตามได้และรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทอย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องลุ้นถึง 3 เดือนแบบของเรา
การรู้ถึงความเป็นไปของบริษัทอย่างรวดเร็วนั้น ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้ เพราะถ้าประกาศงบออกมาไม่ดี เขาก็จะได้ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำอะไรกับหุ้น แทนที่จะต้องรอ 3 เดือนในสถานการณ์ที่หุ้นทยอยตกลงมาโดยที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่ก็จะช่วยเพิ่ม ‘คุณค่า’ ให้กับหุ้นได้
นี่ก็เช่นเดียวกับ ‘โปร’ อื่น ไม่ใช่เรื่องของข้อบังคับของตลาด แต่เป็นเรื่องที่บริษัททำด้วยความสมัครใจและดูแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นักลงทุนชอบซื้อ-ขายหุ้นที่ทำ ‘โปร’ แบบนี้และเขาก็เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ข้อมูลรายเดือนที่เป็นเรื่องรายได้และกำไรของบริษัทจะต้องเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ก่อนสื่ออื่น เช่นเดียวกับรายงานงบรายไตรมาสตามปกติ และก็ต้องเป็นรายงานที่ถูกต้องแต่ไม่ต้องสอบทานแบบสมบูรณ์เหมือนรายงานที่เป็นทางการอื่น
ทั้งหมดที่เสนอมานั้น ผมเองก็ต้องออกตัวว่าคงมีคนเห็นด้วยไม่มากโดยเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงที่เรียกว่า ‘Establishment’ หรือองค์กรที่เป็นสถาบันจัดตั้งที่เป็นทางการรวมถึงตลาดหลักทรัพย์ เพราะมันคงดู ‘แหวกแนว’ เกินไป อาจจะเพราะว่า ‘หุ้นไม่ใช่สินค้า’ ถ้าให้มีการทำ ‘โปรโมชั่น’ จะกลายเป็นการ ‘ปั่นหุ้น’ แล้วคนที่เข้ามาซื้อจะเจ็บตัวหนักแล้วใครจะรับผิดชอบ
ข้อถกเถียงของผมก็ตอบว่า เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นการ ‘ปั่นหุ้น’ หรือไม่ เราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่บริษัทเสนอนั้น อยู่ในกรอบของกฎข้อบังคับของการเป็น ‘Good Governance’ หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไม่อนุญาตให้ทำ
แต่ผมคิดว่าอย่างการจ่ายปันผลทุก 3 เดือนไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการเร็วขึ้นอย่างสมัครใจก็ไม่น่าจะมีปัญหา หรือแม้แต่การประกาศว่าจะมีนโยบายซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องผมก็คิดว่าเป็นผลดีต่อหลายๆ บริษัทที่ไม่สามารถเติบโตทางธุรกิจได้แล้วจึงตัดสินใจคืนเงินให้เจ้าของก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและแน่นอนว่าไม่ใช่การปั่นหุ้น แม้ว่าหุ้นอาจจะขึ้นทันทีที่ประกาศ
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผม ในฐานะ ‘ลูกค้า’ ขาประจำที่ซื้อหุ้นในตลาดมานานอยากจะเห็น อยากได้ ‘โปรโมชั่น’ หุ้น ที่จะให้ ‘คุณค่า’ แบบชนิดที่ยอดเยี่ยมถูกใจใช่เลย โดยเฉพาะกับลูกค้าหุ้นแนว ‘VI’ ที่ชอบถือหุ้นพื้นฐานดีๆ และถือยาวนาน ส่วนบริษัทที่ทำ ‘โปร’ ที่ขายหุ้นแย่ๆ ซื้อแล้วมีแต่เสียหาย หลอกนักลงทุนด้วย ‘โปร’ ที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของหุ้นจริงๆ นั้น เราก็ต้องจับตาและต่อต้าน เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐและองค์กรของตลาดทุนที่จะต้องควบคุมและจัดการ
ภาพ: wutwhanfoto / Shutterstock
อ้างอิง: