เวลานี้ไม่น่าจะมีใครที่มีความสุขมากที่สุดในโลกเท่ากับ โชเซ มูรินโญ อีกแล้วครับ
ภาพของเขาที่ตัดผมตัดเผ้ามาใหม่อย่างหล่อ ก่อนจะสวมชุดสูทเพื่อถ่ายภาพเปิดตัวในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ของทีม ‘ไก่เดือยทอง’ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ถูกตามมาด้วยภาพของมูรินโญในชุดวอร์มสีม่วงสดใสลงไปคุมการฝึกซ้อมด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นคือภาพรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกในฐานะนายใหญ่ของสเปอร์ส พร้อมกับการตอบคำถามที่เรียกเสียงฮาครืนและรอยยิ้มให้กับเหล่าเหยี่ยวข่าวที่มาเฝ้ารอติดตามถ้อยคำและความรู้สึกของเขา กับการได้กลับมาทำงานเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน
การแถลงข่าวนั้นมีคำถามดีๆ อยู่หลายอันครับ ซึ่งหากเป็นในอดีต คำถามหลายคำถามอาจจะฟังดูไม่เข้าหูของมูรินโญ และมีโอกาสที่จะได้รับคำตอบที่ไม่น่าอภิรมย์กลับมา
ยกตัวอย่างเช่น “เมื่อ 4 ปีที่แล้วตอนที่คุณคุมเชลซีอยู่ คุณเคยถูกถามเกี่ยวกับสเปอร์ส ซึ่งคุณบอกว่าคุณไม่มีวันที่จะย้ายมาคุมที่นี่แน่ แล้วอะไรที่มันเปลี่ยนไป”
ถ้าเป็นมูรินโญคนเดิม รับประกันได้ว่านักข่าวน่าจะโดนเม้งไปเรียบร้อยครับ
แต่อาจเป็นเพราะนี่คือช่วงเวลาที่แสนพิเศษ เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข นั่นทำให้เราได้คำตอบที่เรียกรอยยิ้มมุมปากว่า “นั่นเป็นช่วงก่อนที่ผมจะถูกปลดไง”
ความจริงแล้วไม่ใช่เฉพาะมูรินโญที่มีความสุขครับ นักข่าวเองก็มีความสุขเหมือนกัน โดยหลังจากที่มีการกล่าวต้อนรับแล้ว คำถามแรกที่กุนซือชาวโปรตุเกสถูกถามก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีทีเดียว เมื่อนักข่าวยิงคำถามว่า “คุณบอกในช่วงฤดูร้อนว่าถ้าคุณกลับมาแถลงข่าวครั้งแรกคุณจะยิ้ม ซึ่งก็ดูเหมือนคุณจะยิ้มจริงๆ”
มูรินโญก็ยิ้มตอบ แถมยังบอกว่า “ผมยิ้มมา 2 วันแล้ว” (ก่อนที่จะกล่าวสดุดีถึงผู้จัดการทีมคนเก่าอย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน ที่ไม่มีโอกาสได้ล่ำลาใคร นอกจากทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้แผ่นเดียว)
อย่างไรก็ดี คำถามและคำตอบที่ดีที่สุดจากการแถลงข่าวครั้งแรกของมูรินโญกับสเปอร์ส ในความรู้สึกของผมคือคำถามเกี่ยวกับ ‘บทเรียน’ ที่ผ่านมาของตัวเขาเอง
มันนำไปสู่คำพูดเด็ดที่นักข่าวรอคอยครับ เหมือนในการแถลงข่าวครั้งแรกกับเชลซี เมื่อปี 2004 ที่เขายกตัวเองว่าเป็น The Special One (เลยนะ!) และอีกครั้งในการกลับมาเชลซีในปี 2012 ที่เขาบอกว่าตัวเองเป็น The Happy One
ครานี้มูรินโญบอกว่าตัวเองเป็น ‘The Humble One’ หรือคนที่ถ่อมตัว
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้พูดคำนี้ครับ เพียงแต่มันอยู่ในประโยคคำตอบ ซึ่งคมพอที่จะนำมาใช้ได้ถึงการพาดหัวตัวไม้สำหรับ บ.ก. หน้าหนึ่ง
แต่สิ่งที่มีความหมายจริงๆ มันไม่ได้อยู่กับแค่คำนั้น แต่มันอยู่ในคำตอบทั้งหมดที่มูรินโญบอกออกมา
นักข่าวถามแบบนี้ครับว่า “คุณบอกว่าคุณมีอะไรให้คิดมากมายตลอดช่วงฤดูร้อน ผมรู้ว่าคุณได้ไปร่ำเรียน ได้พยายามอ่านเอกสาร ได้ศึกษาเกมฟุตบอลของคุณและกีฬาประเภทอื่น คุณยังเคยยกคำพูดของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เกี่ยวกับเรื่องของการปรับตัว ท่ามกลางความสำเร็จทั้งหมดของคุณ คุณคิดว่าตอนนี้คุณได้กลายเป็นคนใหม่ เป็นโชเซที่ดีขึ้นอีกหรือไม่”
มูรินโญตอบว่า เขาคิดและเชื่อว่าช่วงเวลา 11 เดือนที่ผ่านมาที่เขาตกงานหลังโดนปลดจากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ช่วงเวลาที่สูญเปล่าครับ
“ผมได้วิเคราะห์ ได้ใช้เวลาใส่ใจ ได้คิดถึงเรื่องต่างๆ ถึงเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง DNA ตัวตนในสิ่งที่เราเป็นได้ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี แต่ผมก็ได้คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
“อย่าถามผมว่าผมได้ทำผิดพลาดอะไรบ้าง แต่ผมก็รู้ดีว่าตลอดการทำงานของผม ผมได้ทำอะไรผิดพลาดมากมาย แต่ผมจะไม่พลาดแบบเดิมอีก ถ้าผมจะพลาดอีก มันจะเป็นความผิดพลาดแบบใหม่
“ผมเป็นคนถ่อมตน ผมถ่อมตนมากพอที่จะวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ผมทำ วิเคราะห์ถึงการทำงานของผม ไม่ใช่เฉพาะเมื่อปีกลาย แต่ยังรวมถึงวิวัฒนาการ ปัญหา การแก้ไขปัญหา ผมถ่อมตัวมากพอที่จะวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้ได้ และหลักสำคัญของการวิเคราะห์คือจะต้องไม่โทษคนอื่น”
ถึงผมจะไม่ใช่แฟนตัวยงของเขา แต่ก็เห็นมูรินโญมาตลอดนับตั้งแต่แจ้งเกิดด้วยการพาเอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ยุโรปในปี 2004
แอบมีความรู้สึกว่าดูเหมือนกุนซือจอมอหังการคนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้างครับ
คล้ายกับว่าเขาเองได้เรียนรู้จากซากปรักหักพังของชีวิต
จากคนที่เคยเป็นที่หนึ่ง คนที่เคยเป็นคนพิเศษ คนที่ไม่เคยเป็นสองรองใคร คนที่ทุกคนต้องยกย่อง ถึงวันหนึ่งเขาถูกมองว่าเป็นกุนซือตกยุค เป็นคนแก่ที่ไม่มีเหตุผล เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
การต้องเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะได้กลับมาทำงานยาวนานถึง 11 เดือน มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่น้อยนะครับ
โดยเฉพาะกับคนที่มีชีวิตและลมหายใจเพื่อเกมฟุตบอลอย่างมูรินโญ
ความคิดถึงมันทำให้คนตายได้ และความคิดถึงในเกมลูกหนังก็เกือบจะทำให้ The Special One ขาดใจตาย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขายอมแม้กระทั่งตอบรับคำเชิญจากช่องกีฬาชื่อดังอย่าง beIN SPORTS เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และในฤดูกาลนี้กับ Sky Sports ในการมานั่งวิเคราะห์เกมฟุตบอลให้ดูแบบสดๆ
ในฐานะคนที่ชอบเสพการวิเคราะห์จากคนในวงการ การได้เห็นคนอย่างมูรินโญ มานั่งวิเคราะห์เกมนั้นเป็นลาภอันประเสริฐครับ เพราะมุมมองและข้อมูลลึกๆ ของเขาเหนือและแตกต่างจากนักวิเคราะห์อื่นโดยทั่วไปอย่างมาก มากในระดับที่เรียกว่ากระดูกคนละเบอร์
คำพูดจะสั้น จะยาว จะหนักแน่น หรือหยอกล้อ หากมาจากปากของมูรินโญ ก็น่าฟังไปหมด และกลายเป็นคำพูดที่กลายเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
เพียงแต่การต้องเห็นคนอย่างมูรินโญ ไปนั่งวิเคราะห์เกมแบบนี้ก็เป็นภาพที่น่าเศร้าเช่นกัน
ทุกคนรู้ว่า ‘ที่’ ของเขาไม่ได้อยู่ในสตูดิโอ แต่เป็นม้านั่งข้างสนาม และเจ้าตัวเองก็บอกชัดเจนเสมอว่าเขาไม่ได้อยากจะมาวิเคราะห์บนหน้าจอนาน เพราะเขาอยากจะกลับไปทำงานในฐานะผู้จัดการทีมให้เร็วที่สุด
จนในวันนี้เขาได้โอกาสที่รอคอย แม้จะไม่ใช่ทีมที่เขาเฝ้าคอยสักนิดก็ตาม
พูดกันตามเนื้อผ้า สเปอร์ส แม้จะเป็นทีมที่ดีมากๆ แต่ยังไม่ได้เป็น ‘ทีมใหญ่’ (ในความหมายของคนในวงการ) เมื่อเทียบกับทีมอย่าง เรอัล มาดริด หรือ บาเยิร์น มิวนิก หรือแม้กระทั่ง อาร์เซนอล ที่มีข่าวกับเขาก่อนหน้านี้
ไม่นับสไตล์การทำทีมของ แดเนียล เลวี ซึ่งขัดกับธรรมชาติการทำงานของมูรินโญ อย่างแรง (ซึ่งผมได้เขียนไปบ้างแล้วในบทความชิ้นที่แล้ว) และชื่อตำแหน่งหัวโขนที่เป็น ‘เฮดโค้ช’ หรือหัวหน้าผู้ฝึกสอน ไม่ใช่ ‘ผู้จัดการทีม’
การตอบรับข้อเสนอครั้งนี้ของสเปอร์สจึงชวนให้รู้สึกว่าเขายอม ‘ถอย’ กว่าปกติเยอะมาก
บางคนอาจจะมองว่ามันคือการถดถอยทางเส้นทางอาชีพของมูรินโญ ตรงนั้นก็แล้วแต่ครับ
แต่ในอีกด้านผมเชื่อว่ามูรินโญ รู้ดีที่สุดว่าเขาต้องการอะไร
เขาอยากทำในสิ่งที่รัก และเขารักในสิ่งที่ทำ
สำหรับมนุษย์สักคน แค่นี้ก็มากพอแล้วในการทำงานครับ
ทีนี้ถ้าถามผมว่า เชื่อจริงๆ ไหมว่ามูรินโญจะไม่กลับไปเป็นกุนซือเจ้าอารมณ์เหมือนเก่า ผมก็อยากบอกว่าผมไม่เชื่อ เพราะตัวตนและธรรมชาติของเขาพวกเราต่างก็รู้กันดีอยู่ครับ
คุ้มดีคุ้มร้าย และออกจะหนักไปทางคุ้มร้ายมากกว่าคุ้มดี โดยเฉพาะหากผลงานในสนามไม่เป็นใจขึ้นมา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ออกตัวแล้วว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ใน DNA เป็นตัวตนของเขาที่ไม่สามารถแก้ได้
สักพักเดี๋ยวมูคนเก่าก็กลับมา
เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ ในการกลับมาครั้งนี้ กับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากชีวิต จากครูที่ดีที่สุดในชีวิตที่เรียกว่า ‘ความล้มเหลว’
สมมติว่าบทเรียนนั้นทำให้เขาเติบโตขึ้นได้จริง ผมก็อยากรู้ว่ามูรินโญจะเปลี่ยนแปลงและมีอะไรใหม่ๆ ให้เราได้ดูและเซอร์ไพรส์บ้างไหม
แม้โลกภายนอกจะสบประมาทว่าเขาคงอยู่ได้ไม่นาน ไปได้ไม่กี่น้ำ
แต่กับคนที่ได้คิดและคิดได้ โดยเฉพาะกับคนอย่างมูรินโญ บางทีก็ไม่ควรจะดูแคลนจนเกินไป
ไม่เชื่อก็ลองดูบนหน้าสื่อกีฬา – แค่การกลับมาวันแรก พื้นที่ 70% ของสื่อกีฬาก็เป็นเรื่องของ The Humble One คนนี้แล้วครับ 🙂
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- ในวันแรกของการรับงานที่สเปอร์ส มูรินโญเดินทางมาถึงสนามซ้อมตั้งแต่ 06.30 น. โดยนั่งทานอาหารเช้ากับทีมงานบางคนและสวมชุดซ้อม ก่อนจะเริ่มงานเลยด้วยการดูวิดีโอวิเคราะห์การเล่น วิดีโอวิเคราะห์แท็กติก และเตรียมการซ้อมมื้อแรก
- มูรินโญให้มีการซ้อมในช่วงบ่ายทันที พร้อมแนะนำทีมงานของเขาที่นำโดย เจา ซาคราเมนโต ผู้ช่วยคนใหม่รายแรกในรอบ 18 ปี (เพราะ รุย ฟาเรีย มือขวาคนสนิทติดงานคุมสโมสรในตะวันออกกลาง)
- สิ่งสำคัญที่สุดที่มูรินโญให้ความสำคัญยิ่งกว่าสำคัญในวันแรกของการทำงานคือ สิ่งที่เขาจะพูดกับลูกทีมในการซ้อมมื้อแรก และสิ่งแรกที่เขาบอกกับลูกทีมคือ “ขอให้สนับสนุนผม ผมจะเปลี่ยนพวกคุณให้เป็นผู้ชนะ”