ไม่ใช่แบบนี้สิ
คือแวบแรกของความรู้สึกหลังจากที่ได้เห็นคลิปวิดีโอสั้นๆ ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่กล่าวอำลาแฟนลิเวอร์พูลทุกคน หลังจากตัดสินใจตอบรับข้อเสนอจากอัล อิตติฟาค สโมสรฟุตบอลในซาอุดีอาระเบีย ตามคำชักชวนของ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมรุ่นก่อนหน้า ที่เป็นอีกหนึ่งคนที่เลือกไปผจญภัยในดินแดนทะเลทราย
สำหรับคนที่เป็นกัปตันทีมที่พาลิเวอร์พูลครองแชมป์แบบ ‘ครบเซ็ต’ ทุกรายการใหญ่ แต่ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, แชมป์สโมสรโลก คลับเวิลด์คัพ, ลีกคัพ, เอฟเอคัพ
และพรีเมียร์ลีก ที่ลิเวอร์พูลรอคอยมายาวนานถึง 30 ปี
ลีลาการ ‘Shuffle’ หรือ ‘ซอยเท้ายิก’ ก่อนชูถ้วยขึ้นฉลองแชมป์ของเฮนเดอร์สัน กลายเป็นหนึ่งในภาพจำที่สำคัญที่สุดของเขา ในฐานะกัปตันทีมของทีมลิเวอร์พูลชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งตลอดกาลในช่วงปี 2018-2022
หากจะต้องจากกัน เฮนเดอร์สันสมควรที่จะมีโอกาสได้บอกรักและบอกลากันด้วยดีกว่านี้ไหม
เหมือน เจมี คาร์ราเกอร์ หรือเจอร์ราร์ดเอง หรือแม้แต่ โรแบร์โต เฟียร์มิโน ที่เพิ่งจะมีโอกาสได้ร่ำลาทีมอย่างยิ่งใหญ่ในแอนฟิลด์
แต่ก็นั่นแหละครับ มันอาจเป็นแค่เรื่องของความรู้สึกอ่อนไหวกับหัวใจที่สั่นเทา
เพราะในชีวิตจริงไม่มีใครรู้หรอกว่า เราจะมีโอกาสได้บอกลาเมื่อไรและตอนไหน และบางครั้งสิ่งที่สำคัญมากกว่าการบอกลาคือความทรงจำที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน
สำหรับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เด็กหนุ่มจากแวร์ไซด์ ผมคิดว่าแฟนลิเวอร์พูลมีความทรงจำของเขาอยู่ไม่น้อย
รวมถึงสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จากนักฟุตบอลธรรมดาๆ ที่ดูไม่ได้มีอะไรพิเศษคนนี้
เฮนเดอร์สันเป็นหนึ่งในนักเตะที่ย้ายทีมมาเมื่อ 12 ปีที่แล้ว พร้อมกับเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่
เพราะลิเวอร์พูลตัดสินใจจ่ายเงินถึง 20 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับกองกลางดาวรุ่งที่เพิ่งแจ้งเกิดกับซันเดอร์แลนด์ได้ไม่นาน ซึ่งเงินจำนวนนี้ในเวลานั้นถือว่าเป็นจำนวนเงินที่เยอะพอสมควรเลยทีเดียว
แต่คนที่ตัดสินใจเลือกเขาคือ เคนนี ดัลกลิช ‘คิง’ แห่งแอนฟิลด์ ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้งเป็นคำรบที่ 2 เพื่อชดเชยความรู้สึกในใจที่เคยตัดสินใจทิ้งทีมไปอย่างกะทันหันเมื่อปี 1991 หลังแบกรับความกดดันและความรู้สึกของการเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ที่ต้องเดินทางไปร่วมงานศพของแฟนบอลที่เสียชีวิตจากเหตุโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์ไม่ไหว
ในตอนนั้นเฮนเดอร์สันเป็นกองกลางที่เล่นทางริมเส้นฝั่งขวาให้ซันเดอร์แลนด์ มีจุดเด่นคือเรื่องของการเติมเกมรุกและสามารถเปิดบอลได้ดีพอสมควร เพียงแต่ปัญหาคือ เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ที่พิเศษเหมือน เดวิด เบ็คแฮม และความจริงก็แทบไม่ได้มีอะไรโดดเด่นสะดุดตานัก
เทคนิคการเล่นไม่ได้สูงส่งหรือเหนือชั้น วิชั่นในการอ่านเกมหรือการจ่ายบอลก็ธรรมดา จัดอยู่ในระดับ Average ก็ว่าได้
แต่ในสายตาของดัลกลิช สิ่งที่เขามองเห็นคือเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่น และที่สำคัญคือเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก
ครั้งหนึ่งดัลกลิชเคยให้คำแนะนำกับเฮนเดอร์สันว่า ไม่จำเป็นจะต้องโทษตัวเองหนักขนาดนั้นหากเล่นผิดหรือพลาดในสนาม เพราะสังเกตว่าบ่อยครั้งที่เจ้าหนูคนนี้จ่ายพลาด เขาจะยกมือขอโทษเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเสมอ
“อย่าไปทำแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นทุกคนจะรู้ว่านายเล่นพลาด ถึงจะเล่นพลาดก็ไม่ต้องไปบอกทุกคน ควบคุมการเล่นของตัวเองให้ได้ก็พอ นายเล่นได้ ไม่ต้องห่วงหรอก”
คำแนะนำของดัลกลิชให้เปรียบง่ายๆ ก็คือ การให้กำลังใจเด็กที่ไม่มีความมั่นใจให้กล้าที่จะเล่นในแบบที่ตัวเองทำได้ เพราะฟุตบอลนั้นเวลาลงสนามจริงๆ ถ้าไม่กล้าเล่น เกิดความลังเล นอกจากตัวเองจะเล่นได้ไม่เต็มที่แล้ว ทีมก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย
แต่เรื่องนี้ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นภาพของเฮนเดอร์สันในมุมของคนที่ชอบวิพากษ์ตัวเอง (Self-Critical) ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของคนที่จะพัฒนาไปสู่ขั้นสูงขึ้นได้
เฮนเดอร์สันไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ แต่เขายังมีหัวใจนักสู้ที่เข้มแข็งมากในตัวเอง
ย้อนกลับไปในปี 2012 เขายังไม่สามารถแจ้งเกิดได้ในทีมลิเวอร์พูล และ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีมในเวลานั้นเอง ก็ดูไม่ได้ชอบเขาสักเท่าไรนัก
ร็อดเจอร์สมีแนวคิดที่จะขายเขาให้กับฟูแลม เพื่อหวังจะได้สลับตัวกับ คลินต์ เดมป์ซีย์ กองหน้าชาวอเมริกัน ที่ถือว่าเป็นของดีราคาไม่แพงที่น่าจะเข้ามาช่วยเกมรุกของลิเวอร์พูลได้ดีทีเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลังการประชุมทีมก่อนเกมยูฟ่ายูโรปาลีกที่จะพบกับฮาร์ทส สโมสรจากสกอตแลนด์ เฮนเดอร์สันถูกตามให้ไปพบกับร็อดเจอร์ส ก่อนได้รับแจ้งว่ามีข้อเสนอมาจากฟูแลม ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการที่จะเดินทางต่อในชีวิตการเล่น
ณ จุดนั้น ถ้าเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งคนอื่นที่รู้ตัวว่าผู้จัดการทีมไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเขาแล้ว สิ่งที่จะทำอาจเป็นการยอมรับการตัดสินใจนั้นและไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น
แต่เฮนเดอร์สันรู้สึกอย่างรุนแรงในใจว่า เขายังมีดีในตัวอีกมากที่พร้อมจะแสดงออกมาให้เห็น เขายังไม่อยากยอมแพ้ต่อโอกาสในทีมลิเวอร์พูลเพียงแค่นี้
สุดท้ายเขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมย้ายไปฟูแลม เขาจะอยู่ที่แอนฟิลด์ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เฮนเดอร์สันบอกว่า ช่วงเวลานั้นทำให้เขาทั้งเข้มแข็งขึ้น เติบโตขึ้น และเข้าใจโลกมากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งที่เขาทำในเวลาต่อมาคือ การพยายามให้มากขึ้นไปอีก ทั้งในการซ้อมและในยามที่ได้โอกาสในการลงสนามจริงๆ
จากคนที่ไม่อยู่ในสายตา กองกลางที่ดูงกๆ เงิ่นๆ คนนี้ ค่อยๆ กลายเป็นกำลังสำคัญในทีมลิเวอร์พูล และในฤดูกาล 2013/14 ที่ลิเวอร์พูลพลาดปล่อยแชมป์พรีเมียร์ลีกหลุดมือ ซึ่งหลายคนมองว่าการ ‘ลื่น’ ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในเกมกับเชลซีคือสาเหตุ
แต่จริงๆ แล้ว หากวันนั้นเฮนเดอร์สันไม่ได้ถูกโทษแบนจากใบแดงในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ บางทีเจอร์ราร์ดอาจได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้วในฤดูกาลนั้น เพราะเขาคือกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของทีม รวมถึงการเป็นคนช่วยแบกฮีโร่อย่างเจอร์ราร์ดในทางอ้อมด้วย
และในเวลาต่อมา คนที่ได้รับเลือกจากร็อดเจอร์สให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลในปี 2015 ต่อจากเจอร์ราร์ด ที่ตัดใจอำลาทีมไปแบบเจ็บช้ำก็คือเฮนเดอร์สันนั่นเอง
การรับสืบทอดปลอกแขนกัปตันทีมต่อจากตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสโมสรเป็นงานที่ทั้งโคตรใหญ่และโคตรยาก ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้ารับไว้ แต่เฮนเดอร์สันในวัยแค่ 24 ปีไม่ใช่แค่กล้า แต่เขาสามารถพาลิเวอร์พูลไปได้ไกลกว่าที่อดีตกัปตันทำไว้
เฮนเดอร์สันรู้ตัวว่าเขาไม่ได้มีสกิลพิเศษ ไม่สามารถตะบันไกลเป็นจรวด หรือเปิดบอลสุดมหัศจรรย์ได้เหมือนเจอร์ราร์ด
หน้าที่ของเขาคือ การเล่นแบบธรรมดาๆ แต่ทำสิ่งที่ธรรมดาๆ นั้นให้ดีที่สุด
และเพราะรู้ตัวว่าไม่ใช่คนพิเศษ เขาจึงต้องพยายามมากเป็นพิเศษ
ในช่วงแรกที่ เจอร์เกน คล็อปป์ เข้ามาทำหน้าที่คุมทีม เฮนเดอร์สันถูกจับมายืนเป็นกองกลางตัวรับบ่อยครั้ง โดยที่เมื่อลงสนามเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการจ่ายบอลออกข้างหรือส่งบอลสั้นๆ จนแฟนบอลเดอะค็อปในไทยหลายคนถึงกับแซวว่าเป็น ‘อาแปะ’
แต่ในรายละเอียดจริงๆ แล้ว เฮนเดอร์สันพยายามที่จะคอนโทรลเกมให้ทีม เพราะฟุตบอลของคล็อปป์ยามได้ครองบอลสิ่งสำคัญคือการครองเกม (Possession) ไม่เสียบอลให้คู่แข่งตีโต้กลับมาง่ายๆ ดังนั้นต่อให้ต้องเล่นแบบน่าเบื่อๆ เขาก็จะพยายามทำอย่างดีที่สุด
จนลิเวอร์พูลได้กองกลางตัวรับธรรมชาติอย่างฟาบินโญมา และเฮนเดอร์สันกำลังทำท่าว่าจะกลายเป็นส่วนเกินในทีม สิ่งที่เขาทำไม่ใช่การโอดครวญ แต่เป็นการพูดคุยเพื่อขอโอกาสจากคล็อปป์ในการขยับขึ้นไปเล่นในตำแหน่งที่สูงขึ้น
ในภาษาฟุตบอลคือ การเปลี่ยนจากตำแหน่ง ‘เบอร์ 6’ (ให้เป็นงานของฟาบินโญ) เป็น ‘เบอร์ 8’ หรือเป็นกองกลางตัวบนที่เล่นในลักษณะ Box-to-Box
ปรากฏว่า เฮนเดอร์สันทำให้คล็อปป์ต้องทึ่ง เพราะสามารถทำได้อย่างดี แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่นเกมรุกได้ดี ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการเติมเกมช่วยทางฝั่งขวา ลูกครอส (เหมือนสมัยเด็กๆ) ไปจนถึงการเปิดทะลุช่องที่แม่นยำ จนหลายคนงงว่าเปิดได้ขนาดนี้เลยเหรอ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นของเขาจริงๆ แล้วคือ การเป็นคนปิดทองหลังพระ เล่นเพื่อทีมเป็นหลัก โดยไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องเป็นพระเอกอะไร รวมถึงหากได้รับคำขอให้เล่นในตำแหน่งไหน ไม่ว่าจะเป็นกลับมายืนเป็นกองกลางตัวรับแทนฟาบินโญในบางนัด หรือต้องไปยืนแบ็กขวา หรือแม้แต่เซ็นเตอร์แบ็กในช่วงที่แนวรับวิกฤตจัดๆ เฮนเดอร์สันไม่เคยเกี่ยง
เรียกได้ว่าเป็นผู้เสียสละตัวจริง
หรือต่อให้ไม่ได้ลงสนาม ความสามารถพิเศษที่สุดของเขาคือ การกระตุ้นทีมผ่านการตะโกนสั่งอันดังสนั่น
การตะโกนสั่งของเฮนเดอร์สันนั้นเคยถูกนำมาเป็นคอนเทนต์ของลิเวอร์พูลเลยทีเดียวในช่วงโควิดที่แฟนบอลไม่สามารถเข้ามาชมในสนามได้ และทำให้เห็นถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของเขาได้เด่นชัดมากขึ้น จนบางครั้งแฟนๆ ก็แซวกันว่าเหมือนเป็น ‘หัวหน้าห้อง’
นอกเหนือไปจากนี้เขายังเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอสำหรับสโมสร ในการทำตัวเป็นมืออาชีพ ไม่เคยมีข่าวอื้อฉาวหรือเสียหายใดๆ ออกมา
เฮนเดอร์สันยังเป็น Role Model ของสังคมอังกฤษที่น่ายกย่อง เป็นหนึ่งใน Leader ที่โดดเด่นของวงการฟุตบอลอังกฤษที่ช่วยเหลือสังคมตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงโควิด รวมถึงการเป็นหนึ่งในเสียงสนับสนุนชาว LGBTQIA+ ทั้งเรื่องของการใช้เชือกรองเท้าสตั๊ดสีรุ้งและการสวมปลอกแขนสีรุ้ง
ทั้งนี้ การย้ายไปเล่นที่ซาอุดีอาระเบียของเขาอาจสร้างคำถามบ้าง เพราะที่นั่น LGBTQIA+ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำให้มีการตั้งคำถามว่า ทุกสิ่งที่ทำมานั้นเป็นแค่การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ตัวเองหรือไม่
แต่สำหรับเฮนเดอร์สัน ข้อเสนอจากอัล อิตติฟาค และการชักชวนของเจอร์ราร์ด อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิต
เงินรายได้ก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญคือการที่เขาจะมีโอกาสได้ลงสนามต่อเนื่อง
ด้วยวัย 33 ปี เขารู้ตัวดีว่าเวลาในการเล่นเหลือน้อย ถึงใจจะยังไหว แต่ร่างกายของเขาเริ่มตอบสนองได้ช้าลง และมันเห็นได้ชัดมากในฤดูกาลที่ผ่านมาว่า มีมากมายหลายครั้งที่หัวใจของเขาจะเอาชนะสังขารไม่ไหวแล้ว
คล็อปป์เองก็มองเห็นในแบบเดียวกัน การซื้อ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล ที่อายุน้อยกว่าเข้ามา และเป็นผู้เล่นที่มีความพิเศษที่จะช่วยทีมได้ หมายถึงโอกาสในการลงสนามของเขาจะลดน้อยลงไป
ไม่ต่างอะไรจากการตัดสินใจของเจอร์ราร์ดที่ขออำลาลิเวอร์พูลเมื่อปี 2015 ไปผจญภัยครั้งสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกา ดีกว่าหากจะต้องอยู่ในสถานะของตัวสำรองอดทน
สิ่งที่น่าเสียดายคือ เรื่องของเฮนเดอร์สันมันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วเกินไปโดยที่ไม่มีสัญญาณใดๆ มาก่อน
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังเชื่อว่าเขาจะยังอยู่ในทีม เพื่อประคับประคองสโมสรที่กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน การสร้างทีมใหม่แบบเต็มตัว และหากเป็นไปได้คือ การอยู่จนครบสัญญาในปี 2025 เพื่อจะได้บอกลากันอย่างยิ่งใหญ่
แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ไม่มีใครได้ทุกสิ่งที่ต้องการตลอดไป
เช่นเดียวกับไม่มีใครรู้ว่าวันใดที่เราถึงเวลาจะต้องบอกลากัน
คลิปวิดีโอสั้นๆ ที่เฮนเดอร์สันทำขึ้นเพื่อบอกรักและบอกลาทุกคนมันอาจดูไม่ยิ่งใหญ่ สมเกียรติและคุณงามความดีที่เขาทำให้ลิเวอร์พูลและแฟนฟุตบอลตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
แต่อย่างน้อยภาพความทรงจำมากมายและบันทึกทำเนียบเกียรติยศของเขาที่ได้กับสโมสรยังคงอยู่
เขียนถึงตรงนี้ ภาพของเฮนเดอร์สันที่ล้มตัวนอนลงเพราะหมดแรงหลังสิ้นสุดเสียงนกหวีดในเกมนัดชิงชนะเลิศ แชมเปียนส์ลีก ที่กรุงเคียฟ ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 2-0 และได้ครองแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ก่อนจะเดินไปโผกอดกับคุณพ่อที่ยืนอยู่ข้างสนามทั้งน้ำตาก็ผุดขึ้นมา
เป็นความทรงจำที่แสนพิเศษ
และนี่คือคนที่พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ต่อให้ไม่ได้เป็นคนที่เกิดมามีอะไรพิเศษ
เราก็สามารถเป็นคนพิเศษได้เหมือนกัน หากเราพยายามมากพอ 🙂