วันนี้ (13 กันยายน) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาครั้งที่ 2 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลุกขึ้นกล่าวชี้แจง โดยฉายภาพให้เห็นว่า ทิศทางเศรษฐกิจที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลมองเห็นจะเดินไปอย่างไร ผ่าน 3 แนวคิด ประกอบด้วย
แนวคิดที่ 1 ที่เป็นดีเอ็นเอของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่อดีตคือ ใช้เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนและจุดประกายด้วยอุปสงค์และกำลังซื้อที่แข็งแรง (Demand-Side Economics) ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ใน 4.5 แสนล้านบาทของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่าควรจะกระตุ้นอุปสงค์ให้เกิดขึ้นก่อน หรือสร้างตลาดในภาวะที่ยังไม่มีกำลังซื้อ
“ถ้าไม่มีกำลังซื้อ ตลาดเหล่านั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ คำตอบคือไม่เกิด กำลังซื้อต้องเกิดขึ้นก่อนเพื่อเหนี่ยวนำไปสู่การสร้างตลาด การบริโภคจะนำไปสู่การลงทุน นั่นคือปรัชญาที่เราคิด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือก่อให้เกิดกำลังซื้อของประเทศขึ้นมาก่อน”
เผ่าภูมิชี้แจงว่า ในภาวะที่ภาคการผลิตยังไม่ฟื้น รัฐบาลประคองด้วยสินเชื่อ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคาร (Soft Loan) รวมถึงกลไกค้ำประกันสินเชื่อกับ SME เพื่อให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อ กลไกดังกล่าวเพื่อประคองการผลิต เพื่อรอการบริโภคเข้ามาเชื่อมผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อจุดประกายกำลังซื้อ
แนวคิดที่ 2 การแก้ไขปัญหาหนี้ของรัฐบาล ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่าง 3 แกน คือ หนี้ครัวเรือนหรือหนี้ภาคประชาชน หนี้ภาคธุรกิจ และหนี้ของรัฐหรือหนี้สาธารณะ ต้องไม่มีแกนไหนมากกว่าแกนอื่น ขณะที่ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงในระดับน่าอันตราย เป็นการโยนภาระไปที่ภาคประชาชน แปลว่าภาครัฐยังมาอุ้มหนี้ภาคประชาชนให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำได้ไม่ดีพอ หากประชาชนมีหนี้ต่ำ กำลังซื้อจะเกิดขึ้นง่าย ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้ห่วงว่าหนี้สาธารณะจะสูง ตราบที่สามารถช่วยอุ้มหนี้ของภาคประชาชนได้
แนวคิดที่ 3 สิ่งที่รัฐบาลเห็นและทำเป็นดีเอ็นเอคือ ใช้เงินใหม่ เป็นเหตุผลที่ผ่านมารัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เดินสายไปต่างประเทศเพื่อชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็นเงินใหม่ รวมถึงการเสนอ Entertainment Complex ซึ่งเป็นการลงทุนใหม่ให้ต่างชาติมาลงทุนในไทย สร้างงาน สร้างอาชีพ ตลอดจนการมีกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งดึงเม็ดเงินใหม่ให้เข้ามาในระบบ เป็นเงินนอกงบประมาณ ทำให้เศรษฐกิจโตก้าวกระโดด
“การบริหารหนี้ 3 กองของประเทศ ดึงเงินใหม่เข้ามาในประเทศนอกจากงบประมาณ หากอ่านและจับแกนความคิดจะมองเห็นนโยบายรัฐบาลว่าเดินไปสู่จุดไหน” เผ่าภูมิกล่าวทิ้งท้าย