บริษัท Johnson & Johnson ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐฯ ยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) ขออนุมัติการใช้งานวัคซีนโควิดของทางบริษัท เพื่อใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือ Booster Shot ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับประชาชนกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป
Johnson & Johnson ซึ่งพัฒนาวัคซีนโควิดแบบ 1 โดส เปิดเผยว่าได้ส่งข้อมูลให้แก่ FDA ซึ่งรวมถึงผลศึกษาทดลองวัคซีนเข็มกระตุ้นระยะท้ายในสหรัฐฯ โดยพบว่า ผู้ได้รับการฉีดวัคซีน Johnson & Johnson เข็มกระตุ้น หลังจากที่ฉีดวัคซีนหลักแล้ว 56 วัน มีอัตราป้องกันการติดเชื้อโควิดแบบมีอาการได้สูงถึง 94% ขณะที่สามารถป้องกันการเกิดอาการป่วยรุนแรงได้ถึง 100% ในช่วงเวลาอย่างน้อย 14 วันหลังจากฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น
การยื่นขออนุมัติใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นของ Johnson & Johnson มีขึ้นก่อนที่ FDA จะจัดการประชุมกับคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ เพื่อหารือเรื่องการอนุมัติใช้วัคซีน Johnson & Johnson เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น
ซึ่งที่ผ่านมา FDA ได้อนุมัติการใช้งานวัคซีนเข็มกระตุ้นของบริษัท Pfizer-BioNTech สำหรับกลุ่มประชาชนอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงประชาชนในกลุ่มเสี่ยงป่วยหนักและเสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งทาง Pfizer ยังขอให้ FDA ขยายการอนุมัติใช้วัคซีนสำหรับประชาชนอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปด้วย แต่ได้รับการปฏิเสธ เนื่องจากมีข้อมูลหลักฐานบ่งชี้ว่าวัคซีนเข็มกระตุ้นของ Pfizer นั้นมีประโยชน์สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยงสูงมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท Moderna ที่ยื่นขออนุมัติใช้งานวัคซีนเข็มกระตุ้นในกรณีฉุกเฉินไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดย FDA จะมีการประชุมคณะกรรมการในวันที่ 14 ตุลาคมเพื่อหารือในเรื่องนี้
ปัจจุบันมีชาวอเมริกันอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ราว 15 ล้านคน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดของ Johnson & Johnson ขณะที่ทางบริษัทยังเปิดเผยว่ามีแผนที่จะยื่นข้อมูลการศึกษาทดลองวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลการใช้วัคซีนอื่นๆ เช่นองค์การอนามัยโลก (WHO) และกลุ่มที่ปรึกษาด้านเทคนิคการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งชาติ (National Immunization Technical Advisory Groups) ของสหรัฐฯ เพื่อให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจด้านยุทธศาสตร์การบริหารจัดการวัคซีนท้องถิ่น
ภาพ: Photo Illustration by Pavlo Gonchar/SOPA Images/LightRocket via Getty Images
อ้างอิง: