หลังจากเผชิญกับแรงกดดันถาโถมอย่างหนักจากภายในพรรคและบรรดาผู้สนับสนุน ล่าสุด โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ยอมยกธงขาว ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว
ก่อนหน้านี้ไบเดนถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจากสมาชิกของพรรคเดโมแครต หลังผลงานดีเบตย่ำแย่อย่างมาก จนทำให้ชาวอเมริกันเห็นถึงภาพความอ่อนล้า สับสน และชราภาพ ของเขา ผลโพลที่ออกมาหลังการดีเบตก็สะท้อนให้เห็นถึงคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าคะแนนของเขาในตอนนี้ตามหลังคู่แข่งอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ไปแล้วถึง 4-5% โดยเฉพาะในมลรัฐสีม่วง หรือ Swing States หรือรัฐที่มีโอกาสเลือกทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน
เราย้อนไปทบทวนเหตุการณ์ตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และอะไรทำให้ไบเดนยอมยกธงขาว รวมทั้งวิเคราะห์ถึงว่า ใครน่าจะได้เป็นตัวแทนพรรคคนใหม่ไปชิงชัยกับทรัมป์ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
ไบเดนพยายามแล้ว
ไบเดนพยายามที่จะต่อสู้ว่าสุขภาพกายและสมองของเขายังแข็งแรงดี พร้อมที่จะเป็นผู้นำโลกเสรีต่อไปอีก 4 ปี
เขาอ้างว่า การที่เขาดูอ่อนล้าและสับสนในการดีเบตกับทรัมป์เมื่อเดือนที่แล้วนั้นเป็นผลพวงมาจากการที่เขาติดเชื้อหวัดเพียง 3 วันก่อนการดีเบต เขาพยายามใช้การกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ของ NATO และการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ เพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์กลับมา แต่กลายเป็นว่าสถานการณ์กลับย่ำแย่ลงไปอีก เพราะการพูดจาของเขานั้นดูติดขัดและสับสนไม่ต่างจากตอนที่เขาดีเบตกับทรัมป์ รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาเผลอเรียกประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ว่าปูติน รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาจำชื่อรัฐมนตรีกลาโหมของตัวเองไม่ได้
นอกจากนี้ในเวลาต่อมาไม่นานทำเนียบขาวของเขาก็ยังถูกแฉว่า มีการเรียกตัวอายุรแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคพาร์กินสันอย่าง นพ.แคนนาร์ด แห่งโรงพยาบาลวอลเตอร์รีด ไปพบกับไบเดนหลายครั้งตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยในตอนแรกทีมงานของไบเดนพยายามปิดบังว่าเป็นการพบปะกันธรรมดา ก่อนที่จะยอมรับในเวลาต่อมาว่า นพ.แคนนาร์ด เข้าไปตรวจและรักษาเขาจริงๆ
เดโมแครตหนีตาย
คะแนนนิยมของไบเดนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และดูจะไม่มีทางแก้ไขได้นั้น ทำให้นักการเมืองของเดโมแครตหลายคนกังวลว่า การเลือกตั้งในปี 2024 จะเป็นหายนะของพรรคที่จะทำให้ทรัมป์กลับมาครองทำเนียบขาว และพรรครีพับลิกันของทรัมป์จะกลับมาครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา ทำให้ภายหลังการดีเบต มีนักการเมืองของพรรคกว่า 30 คนออกมาเรียกร้องให้ไบเดนเสียสละด้วยการถอนตัวจากการเป็นผู้แทนพรรค และส่งต่อพรรคให้คนหนุ่มสาวมาเป็นผู้นำคนต่อไป
เพราะในทางกฎหมายแล้ว พรรคเดโมแครตยังสามารถเปลี่ยนตัวผู้แทนพรรคในการลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีได้ เนื่องจากพรรคยังไม่ได้โหวตให้ไบเดนเป็นผู้แทนพรรคอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีการประชุมใหญ่ของพรรค (Democratic National Convention) ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้
ในตอนแรกไบเดนและทีมงานยังคิดว่าพวกเขายังจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ โดยที่พวกเขาเชื่อว่าสื่อมวลชนและพรรคเดโมแครตแตกตื่นกับการดีเบตมากเกินไป และนักการเมืองในพรรคส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนเขา (คนที่ออกมาต่อต้านเขาอย่างเปิดเผยมีเพียงแค่กว่า 30 คนเท่านั้น)
อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ที่แย่ลงอีกหลังดีเบต ทำให้นักการเมืองรุ่นใหญ่ของพรรคอย่าง แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดี นั่งไม่ติด และต้องออกมาช่วยกดดันให้ไบเดนยอมถอนตัว
ทั้งสองคนไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยตรง แต่มีรายงานข่าวว่าทั้งสองคนกดดันไบเดนในทางลับ โดยที่เพโลซีพร้อมจะปล่อยให้ สส. ในสังกัดของเธอออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีไบเดนพร้อมๆ กัน ส่วนโอบามาก็แสดงออกผ่านคนสนิทของเขาอย่างดาราชื่อดังอย่าง จอร์จ คลูนีย์ โดยให้คลูนีย์เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ The New York Times เรียกร้องให้ไบเดนถอนตัว ไม่เช่นนั้นคลูนีย์และโอบามาจะไม่ช่วยระดมทุนช่วยเหลือเขาในการเลือกตั้งอีก
รายงานข่าวแจ้งว่า เพโลซีและโอบามาคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ไบเดนรู้สึกว่าเขาไม่เหลือใครอีกแล้วในพรรค และการยอมแพ้เป็นทางเลือกเดียวที่เขาเหลืออยู่
คามาลา แฮร์ริส รับไม้ต่อ
ในแถลงการณ์ของไบเดน นอกจากที่เขาจะประกาศถอนตัวจากการเป็นผู้แทนพรรคแล้ว เขายังกล่าวสนับสนุนให้รองประธานาธิบดีของเขา คามาลา แฮร์ริส มาเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตแทนที่ตัวเขา ซึ่งแฮร์ริสก็มีศักดิ์และสิทธิ์ทุกประการในฐานะเบอร์ 2 ของทำเนียบขาว นอกจากนั้นการที่เธอยังเป็นสตรีผิวสี ซึ่งเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเดโมแครต ก็น่าจะทำให้เธอได้รับการยอมรับจากสมาชิกพรรคโดยไม่ยาก ซึ่งภายหลังจากที่ไบเดนประกาศสนับสนุนเธอเพียงไม่นาน นักการเมืองของพรรคเกินกว่า 50 คนก็ออกมาให้การสนับสนุนเธอเช่นกัน ซึ่งนั่นก็น่าจะแปลว่าเธอน่าจะได้เสียงจาก Delegate (คณะเลือกตั้ง) ณ ที่ประชุมใหญ่ของพรรค อย่างท่วมท้น
การได้แฮร์ริสมาเป็นผู้แทนพรรคแทนไบเดนนั้นน่าจะสร้างความโล่งใจให้กับพรรคเดโมแครตเป็นอย่างมาก เพราะปัญหาของเดโมแครตในตอนนี้ดูเหมือนจะผูกอยู่แค่กับตัวของไบเดนเท่านั้น (ด้วยปัญหาอายุที่มากและอาการหลายอย่างที่เหมือนคนเป็นโรคสมองเสื่อม) แต่แบรนด์ของพรรคยังดีอยู่ อันจะเห็นได้จากผลโพลที่ความนิยมของพรรคเดโมแครตที่ยังเหนือพรรครีพับลิกัน และผู้สมัคร สส. และ สว. ของเดโมแครต ก็ยังมีคะแนนเหนือหรือสูสีกับผู้สมัครของรีพับลิกัน รวมถึงตัวทรัมป์เองที่ก็ยังมีคะแนนนิยมในระดับติดลบ การเปลี่ยนผู้นำพรรคเป็นแฮร์ริสน่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้โอกาสที่เดโมแครตจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีและทั้งสองสภายังมีอยู่
เกาะติด การเลือกตั้งสหรัฐ 2024 ได้ที่ เว็บไซต์พิเศษ : เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 และ Facebook : THE STANDARD
ภาพ: Getty Images