ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ฤกษ์เปิดตัวแผนลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ารวม 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรายละเอียด ระหว่างลงพื้นที่เยือนเมืองพิตต์สเบิร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอุตสาหกรรมสำคัญในภาคตะวันออกของประเทศ
สำหรับมาตรการลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ ถือเป็นเป้าหมายลำดับที่สองของไบเดน หลังสามารถผลักดันกฎหมายให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จไปแล้วก่อนหน้านี้
โดยเป้าหมายของแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคือ การปรับทิศทางและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถเติบโตเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงนำหน้าจีนต่อไปได้
ทางทำเนียบข่าวระบุชัดว่า การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็น เพราะแม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่คุณภาพโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐฯ กลับได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก อีกทั้งกว่าหลายสิบปีที่สหรัฐฯ ได้ลดการลงทุนจากรัฐ ทำให้ถนนหนทาง สะพาน และระบบประปา ของประเทศ ขาดการซ่อมบำรุงและอยู่ในสภาพทรุดโทรม ขณะที่การจ่ายไฟฟ้าไปตามครัวเรือนและอาคารห้างร้านต่างๆ ก็เริ่มย่ำแย่ โดยมีเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ค่อนข้างบ่อย และประชาชนจำนวนมากยังไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและยังไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในราคาที่สมเหตุสมผลได้
โดยก่อนหน้าที่ไบเดนจะแจกแจงรายละเอียด ทางเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้เปิดเผยว่า โครงการนี้จะมุ่งซ่อมแซมถนนทั่วประเทศเป็นระยะทาง 32,000 กิโลเมตร สะพานที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ 10 แห่ง และสะพานเล็กๆ อีกราว 10,000 จุด รวมทั้ง กำจัดท่อตะกั่วในโครงข่ายบริการน้ำประปาที่เป็นอันตรายสำหรับผู้ใช้งานให้หมดสิ้น และยกระดับเครือข่ายการจ่ายไฟฟ้า ระบบบรอดแบนด์คอมพิวเตอร์ และระบบขนส่งครั้งใหญ่ด้วย
รายงานระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ในช่วง 8 ปีจากนี้
สำหรับรายละเอียดของโครงการหลักๆ ประกอบด้วย
– จัดงบ 621,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น สะพาน ถนน การขนส่งสาธารณะ ท่าเรือ สนามบิน และการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า
– อัดฉีด 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการดูแลผู้สูงวัยและผู้พิการชาวอเมริกัน
– อัดฉีดเงินกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการสร้างและปรับปรุง ดัดแปลง แก้ไข ที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงสร้างและยกระดับโรงเรียน
– ลงทุนอีก 580,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในภาคอุตสาหกรรมการผลิต การวิจัยและพัฒนา และการฝึกอบรมทักษะแรงงาน
รายงานระบุว่า ไบเดนยังใช้โอกาสนี้ผลักดันเรื่องการปฏิรูปภาษีเพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าว โดยผู้นำสหรัฐฯ เสนอให้ปรับขึ้นภาษีธุรกิจจากเดิม 21% มาอยู่ที่ 28% กระนั้นรัฐบาลยังคงเปิดรับแนวความคิดอื่นๆ เกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนมาสนับสนุนโครงการต่างๆ ด้วย
ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมาพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสมักจะสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน แต่ส่วนใหญ่แสดงท่าทีคัดค้านแผนการของไบเดนที่จะปรับขึ้นภาษี โดยให้เหตุผลว่า การกระทำดังกล่าวจะทำให้คนทำงานรับจ้างในประเทศเดือดร้อน และอาจทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอลง ทั้งยังอาจส่งผลให้ธุรกิจสัญชาติอเมริกันสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
การเปิดแผนลงทุนของผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางการจับตามองจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดหุ้น Wall Street ของสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวานนี้ปิดตลาดผสมผสาน โดยดัชนี Dow Jones ลดลง 0.26% ปิดที่ 32,981.55 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.36% ปิดที่ 3,972.89 จุด และดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 1.54% ปิดที่ 13,246.87 จุด
หุ้นที่มีการขยับขึ้นมากที่สุดวานนี้คือ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึง Apple และ Facebook ที่เคลื่อนไหวปิดบวกมากที่สุดจากแรงช้อนซื้อหลังขยับลงต่อเนื่องในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนหันไปลงทุนในภาคสายการบิน บริษัทพลังงาน และภาคอื่นๆ ที่มีแนวโน้มจะเติบโตได้ดีในเศรษฐกิจยุคหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: