ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา แสดงความคาดหวังว่าความสัมพันธ์กับจีนจะดีขึ้นในไม่ช้า หลังจากที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องหยุดชะงักลงจากกรณีความขัดแย้งเรื่องบอลลูนสอดแนมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่ากรณีบอลลูนสอดแนมส่งผลกระทบต่อพลวัตความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับจีน ทั้งๆ ที่เริ่มมีแนวโน้มทางบวกหลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้พบปะกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ไบเดนย้ำว่า ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับจีนหลังจากนี้มีแนวโน้มจะเป็นไปในทางบวก พร้อมระบุว่าฝ่ายบริหารของตนกำลังพิจารณาว่าจะยกเลิกการคว่ำบาตร หลี่ฉางฟู่ รัฐมนตรีกลาโหมจีน ซึ่งเป็นบุคคลที่ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เตรียมการที่จะพบปะหารือในงานอีเวนต์เดือนมิถุนายนที่สิงคโปร์
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเริ่มแย่ลงหลังเกิดกรณีข้อพิพาทบอลลูนสอดแนมที่จีนยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอด ก่อนกล่าวหาว่าสหรัฐฯ พยายามสกัดกั้นกีดกันจีนด้วยการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง และหันไปให้การสนับสนุนไต้หวันซึ่งจีนอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งไบเดนกล่าวชัดเจนว่าเป็นการกล่าวอ้างแต่เพียงฝ่ายเดียวของจีน พร้อมเตือนว่าหากจีนใช้กำลัง จีนก็ต้องเตรียมพร้อมรับการตอบโต้
ด้านทางการจีนก็แสดงจุดยืนชัดเจนไม่ต้องการให้สหรัฐฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีเกาะไต้หวัน โดยย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาภายในที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยชาวจีนด้วยกันเอง ส่วนแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนก็ระบุชัดว่า ไม่ควรประเมินความมุ่งมั่น การแก้ปัญหา และความสามารถของชาวจีนในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนต่ำเกินไป
นอกจากนี้ จีนยังตอบโต้ความคิดริเริ่มของ G7 เพื่อตอบโต้ ‘การบีบบังคับทางเศรษฐกิจ’ โดยกล่าวว่าการคว่ำบาตรและการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ “ทำให้สหรัฐฯ เป็นตัวการที่แท้จริงที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าเป็นอาวุธทางการเมือง”
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางการจีนระบุว่า พบความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างร้ายแรงหลังจากดำเนินการตรวจสอบบริษัท Micron Technology, Inc. และสั่งให้ผู้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสำคัญหยุดการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าวของสหรัฐฯ ทันที
โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากที่ Micron ได้บรรลุข้อตกลงกับญี่ปุ่น เพื่อขอความช่วยเหลือทางการเงินในการผลิตชิปหน่วยความจำรุ่นต่อไป ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ ราห์ม เอ็มมานูเอล เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าวว่าเป็นแบบอย่างในการต่อต้าน ‘การบีบบังคับ’ ของจีน
ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดาผู้นำ G7 แถลงแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าทางกลุ่มต้องการความสัมพันธ์ที่ ‘สร้างสรรค์และมั่นคง’ กับจีน แม้ว่าจะมีความพยายามในการขับเคลื่อนเพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญของจีน โดยย้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของการยืดหยุ่นและการกระจายความเสี่ยง
ทั้งนี้ นอกจากท่าทีของประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ แล้ว ยังมีสัญญาณบวกของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นของทั้งสองฝ่าย ซึ่งรวมถึงการพบปะกันของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เช่น เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ที่ได้พบกับ หวังอี้ นักการทูตชั้นนำของจีนในกรุงเวียนนาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ หวังเหวินเทา รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน มีกำหนดจะพบกับ จีนา ไรมอนโด รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และแคทเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในเมืองดีทรอยต์ในรอบสัปดาห์นี้
อ้างอิง: