วันนี้ (6 ตุลาคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีตประธานกรรมาธิการกิจการศาลองค์กรอิสระฯ และอดีต สส.กทม. พรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของ รัฐบาล ‘หนู 1’ ว่า อาการหนักหนาสาหัสจนเกินเยียวยา โดยระบุว่าได้รับข้อมูลสีเทาเกี่ยวกับรัฐมนตรีหลายคนที่มีผลประโยชน์ซับซ้อน แต่ก็ยังดันทุรังแต่งตั้งโดยไม่เกรงใจใคร
จิรายุประกาศว่า จะยื่นเรื่องต่อองค์กรอิสระ เพื่อดำเนินการสอบสวนการแต่งตั้งรัฐมนตรีและคนนอกหลายคนที่เขามองว่ามีประวัติด่างพร้อย โดยพุ่งเป้าไปที่ สันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคนแรก
จิรายุ ระบุว่า สาเหตุที่สันติไม่เหมาะสมที่จะรับผิดชอบดูแล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากพบความไม่เหมาะสมและอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้ตรวจสอบพบว่า สันติ เคยเป็นกรรมการบริหาร บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ฯ ที่ดำเนินกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีเรื่องถูกร้องเรียน และ สคบ. ได้เคยดำเนินคดีแพ่ง (ฟ้องคดี) กับบริษัทนี้ต่อศาลหลายคดี เพื่อบังคับให้บริษัทรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภค
อดีตประธาน กมธ. ตั้งข้อสังเกตว่า แม้บริษัทดังกล่าวจะมีชนักติดหลัง และสันติจะลาออกก่อนรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน แต่การที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่มีคดีกับหน่วยงานที่ตนเองต้องกำกับดูแลโดยตรง ถือว่า มีความขัดกันแห่งผลประโยชน์อย่างชัดเจน และทำให้ประชาชนไม่สามารถไว้วางใจได้
นอกจากนี้ จิรายุยังเปิดเผยว่า สันติเคยทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินและบริการด้านสินเชื่อ (ลิสซิ่ง) และหลังจากเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี ได้มีการแต่งตั้งทีมเลขานุการและที่ปรึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ทีมนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และด้านการให้สินเชื่อกู้ยืมเงินหรือลีสซิ่ง
“การที่สันติแต่งตั้งที่ปรึกษาแต่ละคนเข้ามาช่วยบริหารสั่งการ สคบ. ซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับตรวจสอบและดำเนินคดีกับธุรกิจที่เอาเปรียบผู้บริโภคในด้านอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อนั้น อันตราย และอาจหนีไม่พ้นการ เข้ามาแทรกแซงหรือเป่าคดี เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับธุรกิจตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อม” จิรายุระบุ
จิรายุเตรียมจะทยอยเปิดเผยประวัติของคณะที่ปรึกษาแต่ละคนให้สังคมพิจารณา และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ปรับคณะรัฐมนตรีใหม่ทันที โดยตนจะยื่นร้องต่อองค์กรอิสระเพื่อเอาผิดทั้งผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และคณะที่ปรึกษา ในประเด็นจริยธรรมและการเข้าแทรกแซงระบบราชการต่อไป