วันนี้ (19 สิงหาคม) จิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตนในฐานะคนที่เคยอยู่พรรคอนาคตใหม่ ตลอดจนพรรคก้าวไกล และย้ายมาอยู่พรรคเพื่อไทย ได้เรียนรู้ตัวตนของพรรคการเมืองทั้งสองพรรค ซึ่งแต่ละพรรคก็มีเหรียญหลายด้านแตกต่างกันออกไป แต่อย่างหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทย คือการมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และพร้อมใช้งานเอาคนมีความรู้ความสามารถนั้นไปบริหารประเทศได้ทันที
จิรวัฒน์กล่าวต่อว่า วันนี้ตนมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยเข้าตามตรอกออกตามประตู ทำตามลำดับขั้นตอนตามวิถีทางประชาธิปไตยเพื่อให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยไม่ได้ปล่อยให้ประเทศเลื่อนลอยแล้วมีรัฐบาลรักษาการไปเรื่อยๆ คงไม่ได้ เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคอันดับหนึ่งเพื่อให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเต็มที่
“เมื่อพรรคก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็ต้องยอมถอยให้พรรคลำดับถัดไป ซึ่งก็คือพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ด้วยเงื่อนไขของพรรคต่างๆ ที่ไปขอเสียงสนับสนุนต้องการให้พรรคก้าวไกลถอยเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงวิธีคิดการทำงานที่เป็นเหตุผลส่วนตัวของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ไม่สามารถร่วมกับพรรคก้าวไกลได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องถอย ไม่สามารถนำพรรคก้าวไกลมาเป็นองค์ประกอบในการจัดตั้งรัฐบาลได้” จิรวัฒน์กล่าว
จิรวัฒน์กล่าวต่อไปว่า ตนเห็นว่าแม้พรรคเพื่อไทยจะต้องนำพรรคการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติมาร่วมรัฐบาลก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย เพราะเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ก็ถือว่าทำให้ลุงนั้นถอยออกไปจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แม้ยังมีพรรคของลุงอยู่แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกคนก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเหมือนกัน แต่ละพรรคการเมืองก็มีฐานประชาชนสนับสนุนของแต่ละฝ่าย เราจะไปใช้วาทกรรมลูกหลานเหลนลุงหรือทหารจำแลงก็สุดแล้วแต่ แต่เมื่อเลือกตั้งจบ ผู้แทนราษฎร 500 คนที่ได้รับเลือกเข้ามาก็มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากันทั้งหมด จะไปลดทอนคุณค่ากันว่าฉันประชาธิปไตยมากหรือน้อยกว่ากันนั้น เห็นจะไม่ถูกต้อง เพราะต่างก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามากันตามกติกาที่เขียนไว้ อีกทั้งหากเราต้องตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจภายใต้บริบทของการเมืองและความเป็นไปได้ หาหนทางและวิธีการแก้ไขให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติให้ได้มากที่สุด นี่แหละที่สำคัญ
“ผมจึงยังยืนยันว่าผมก็คนรุ่นใหม่เหมือนกันที่ยังรักและยึดผลประโยชน์ของชาติ ประชาชน และหนทางของประชาธิปไตยต้องคงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพและส่วนร่วมในทางการเมือง การก่อร่างสร้างแผ่นดินของรัฐไทย ผมก็ไม่เคยลืมรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติไทยว่าเรามีที่มาที่ไป และควรจะมีความภาคภูมิใจในประเทศชาติของเราอย่างไร วันนี้ผมยังเชื่อมั่นและศรัทธาในประชาธิปไตยผ่านระบบพรรคการเมือง และเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยถ้าหากเป็นรัฐบาลแล้วทำเศรษฐกิจให้ดี ประชาชนกินดีอยู่ดี หนี้สินลดลงได้ และปราศจากการทุจริต ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ ประชาชนก็จะยังเชื่อมั่นและศรัทธาในพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างแน่นอน” จิรวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย
