Japan Credit Rating Agency หรือ JCR ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เหตุโควิดคลี่คลาย การท่องเที่ยวฟื้นตัว ภาคการคลัง ภาคธนาคาร และการเงินต่างประเทศแข็งแกร่ง แต่ยังจับตาเงินเฟ้อใกล้ชิด
แพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท Japan Credit Rating Agency หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ได้แก่ ตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign Currency Long-term Sovereign Credit Rating) จากระดับ A- เป็น A และตราสารหนี้สกุลเงินบาทจากระดับ A เป็น A+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือในระดับที่มีเสถียรภาพ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความท้าทาย ‘ เศรษฐกิจไทย ปี 2566 ’ กับการปรับตัวของภาคธุรกิจ
- ฉวยจังหวะค่าเงินอ่อน ส่องโอกาสลงทุนหุ้นโลก สร้างพอร์ตเติบโตระยะยาว
- ‘ส่วนต่างรายได้’ กับนโยบายรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
โดยมีปัจจัยมาจากสถานการณ์การระบาดของโควิดที่คลี่คลาย และการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยฟื้นตัว โดย JCR คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2022 จะเติบโตประมาณ 3%
นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ผ่านมาตรการทางภาษี เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่างๆ ในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะช่วยยกระดับภาคการผลิต เสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็ง และมีศักยภาพการเติบโตในระยะปานกลางถึงยาว ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างน้อยประมาณ 4% หรือมากกว่าในระยะต่อไป
ขณะที่ภาคการคลังมีความเข้มแข็งจากการปฏิรูปภาษีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการใช้จ่ายภาคการคลังได้ลดลงตามสถานการณ์การระบาดที่คลี่คลาย และรัฐบาลมีเป้าหมายลดการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี JCR จึงคาดว่ารัฐบาลจะสามารถรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 70% ได้
ปัจจัยอีกประการคือภาคธนาคารและการเงินต่างประเทศ โดยพบว่าภาคธนาคารมีเสถียรภาพ และภาคต่างประเทศแข็งแกร่ง แม้ว่าปี 2021 ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจากภาคการส่งออกและรายได้จากนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศคาดว่าจะทำให้ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลนับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป นอกจากนี้ การมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ประเทศไทยมีความยืดหยุ่นในการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ JCR ให้ความสนใจและติดตามอย่างใกล้ชิด คือแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อตอบสนองต่อเรื่องดังกล่าว