วันนี้ (12 พฤษภาคม) พรรคเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ #เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ประเทศไทยเปลี่ยนทันที #เพื่อไทย29 เพื่อสื่อสารกับพี่น้องประชาชนก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 14 พฤษภาคม ซึ่งในช่วงที่ 2 เป็นการปราศรัยของจาตุรนต์ ฉายแสง คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย จิราพร สินธุไพร ผู้สมัคร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย
จาตุรนต์กล่าวว่า ที่ผ่านมาคนไทยรู้ว่าพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคเดียวที่ประกาศนโยบายแล้วทำให้เกิดผลใน 1 ปี ทำสำเร็จใน 4 ปี ทำให้เศรษฐกิจไทยผงาดขึ้น สามารถใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด ใช้นโยบายการคลังแบบสมดุล ไม่มีการผลาญเงินภาษี มีแต่การใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ นี่คือประชาธิปไตยกินได้ เกิดขึ้นจากไทยรักไทยเท่านั้น พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองแรกใน 25 ปีที่ยืนขึ้นต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ และไม่ยอมให้เผด็จการกำหนดอนาคตของประเทศ เมื่อไทยรักไทยรวมตัวใหม่เป็นพลังประชาชน และสู้ต่อเป็นพรรคเพื่อไทย เกิดการต่อสู้ของประชาชนคนเสื้อแดงที่ต่อสู้ให้ยุบสภา ให้ประชาชนพิสูจน์ว่าใครจะเป็นรัฐบาล จะมีพรรคการเมืองไหนที่สู้มากที่สุด ถ้าไม่ใช่พรรคเพื่อไทย
“บางคนบอกว่าเกิดรัฐประหารซ้ำซากเพราะพรรคการเมืองในอดีตไม่ต้านรัฐประหาร ไม่สู้จริง ถ้าเป็นพวกเรา เกิดรัฐประหารจะไปยืนหน้าสภา ลงถนน นี่คือพูดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น เป็นดราม่าโรแมนติกเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ถ้านำประชาชนมาสู้จริงๆ เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่ที่พาประชาชนไปต่อสู้กับทหารที่มีกำลังอาวุธ ชีวิตผมผ่านการรัฐประหารมาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง เห็นนักการเมืองต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ นักการเมืองหลายคนอยู่ไทยรักไทยมาถึงเพื่อไทย ก็นำประชาชนต่อต้านเผด็จการ ไม่ได้คัดค้านในวันยึดอำนาจ แต่ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ ตัวผมเองตอนยึดอำนาจปี 2557 นักการเมืองพรรคเพื่อไทยถูกจับไปคุมตัวที่ค่ายทหาร แต่ผมไม่ได้ไปรายงานตัว ก็โดนจับขังที่ค่ายทหาร ขึ้นศาลทหาร สู้คดี 6 ปี” จาตุรนต์กล่าว
ณัฐวุฒิกล่าวว่า นับจากนาทีนี้ ชัยชนะรออยู่ไม่ไกล เหมือนผลไม้บนต้นที่สุกงอมเต็มที่ รอแค่เอื้อมสอย เราต้องสอยและไปให้ถึง แล้วดึงลงมาด้วยการแลนด์สไลด์ และพรรคการเมืองที่จะทำได้คือพรรคเพื่อไทย เพราะเราเข้าถึงใกล้ที่สุด แต่ถ้าเราไม่ดึงลงมา ผลไม้จะสุกงอมคาต้นกลายเป็นผลไม้เน่าลงบนหัวประชาชน ถ้าเราต้องการเปลี่ยนแปลง เราจะทำไม่ได้ถ้าไม่เริ่มต้นนับ 1 ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาล และจะเปลี่ยนรัฐบาลได้ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องได้รับชัยชนะให้เด็ดขาด ถามใจคนทั้งประเทศเห็นตรงกันว่าพรรคเพื่อไทย คือพรรคที่เราใกล้เป้าหมายมากที่สุด
.
“ไม่ว่าจะคิดเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร ไม่ว่าจะใจผูกสมัครพรรคไหน แต่ขอให้มองเป้าหมายเป็นตัวตั้ง ถ้าเป้าหมายคือล้มเผด็จการ ปักธงประชาธิปไตย เราต้องมารบด้วยกันในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ไม่มิเช่นนั้น พล.อ. ประยุทธ์ไม่ต้องรอลุ้นอะไร นอกจากรอแทรกขึ้นมาตรงกลางในระหว่างพรรคประชาธิปไตย วันนี้ ไม่ใช่เรื่องโง่ ฉลาด กล้า ไม่กล้า แต่อยู่ที่ว่ามองปัญหาอย่างไร จัดการปัญหาอย่างไร พรรคเพื่อไทยเจ็บมามาก บอบช้ำมามาก จึงมองว่าการจัดการปัญหาเผด็จการแบบนี้ต้องเดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ และคำแรกที่จะอิ่มด้วยกันคือคำว่าแลนด์สไลด์ และขอให้เลือกให้เด็ดขาด ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว แต่เลือกด้วยความชัวร์ เช็กบิลเผด็จการ เพื่อไทย 2 ใบ แลนด์สไลด์ไปพร้อมกัน”
ดนุพรกล่าวว่า การเดินทางของพรรคเพื่อไทย ที่เริ่มต้นจากพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เราเป็นพรรคที่เอานโยบายนำการเมือง เราทำความเชื่อของพี่น้องประชาชนเกิดขึ้นว่า เราสามารถนำนโยบายที่หาเสียงมาปฏิบัติได้จริง เราสามารถทำให้พี่น้องเชื่อได้ว่า ประชาธิปไตยของประเทศนี้ เป็นประชาธิปไตยที่กินได้ แม้หนทาง 20 กว่าปี จะเจอทั้งรัฐประหารในปี 2549, 2557 และผ่านการถูกยุบพรรคไปอีก 2 ครั้ง เรายังลุกมาและยืนยันสิทธิของเราในคูหาเลือกตั้ง ทำให้คนปฏิวัติรู้ว่าพวกเขาเสียของ เพราะเพื่อไทยกลับมาได้ด้วยความไว้วางใจของประชาชน พวกเราคิดใหญ่และทำเป็น เราพร้อมจับมือพี่น้องที่อยู่ในอุโมงค์อันมืดมิด จับมือกันเพื่อพาไปสู่แสงสว่างอันสดใส แสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่เราใฝ่ฝันกันมาตลอด 9 ปี
จิราพรกล่าวว่า ความสำคัญของการเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ จากการเลือกตั้งปี 2562 ที่แม้พรรคเพื่อไทยจะมี ส.ส. มากที่สุด แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะอำนาจ ส.ว. การเลือกตั้งในวันอาทิตย์นี้จึงต้องเลือกให้พรรคเพื่อไทยชนะขาดแบบแลนด์สไลด์เท่านั้น พรรคเพื่อไทยสู้กับระบอบเผด็จการจนยุบพรรคถึง 2 ครั้ง ถ้าสู้ไม่จริงคงไม่มีพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน คงไม่สู้เคียงข้างประชาชนมาเป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปี
“เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกตั้งได้ เราเลือกรัฐบาลที่จะมากำหนดทิศทางชีวิตของเราได้ เราจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นได้เราต้องเปลี่ยนรัฐบาล ผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น ดังนั้น 14 พฤษภาคมนี้ เข้าคูหากาเพื่อไทย เพื่อปักธงประชาธิปไตยไปทั้งประเทศ”
อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด กล่าวว่าสถานการณ์ประเทศไทยวันนี้เหมือนคนป่วย เราอยู่บนทางแยกที่รัฐบาลปล่อยให้คนไทยโง่ จน และเจ็บมาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา และเวลานี้มีหมอรักษาประเทศไทยอยู่ 4 แบบคือ หมอคนที่ 1 เป็นหมอที่รักษาเรามา 8-9 ปี ให้แต่ยาพารากับยาเขียว รักษาแล้ว รักษาอยู่ และรักษาต่อ หมอคนที่ 2 เป็นหมอก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่เราอยากบอกว่า หมอควรไปก้าวข้ามบันไดให้ได้ก่อน หมอคนที่ 3 เป็นหมอหนุ่มใหม่ไฟแรงโอปป้า คนไข้คนป่วยกำลังจะตาย แทนที่จะรักษาอาการ กลับเสนอปรับโครงสร้างด้วยการรื้อโรงพยาบาล รักษาเอาไว้แต่ต้องรื้อโครงสร้างก่อน หมอคนที่ 4 เป็นหมอมากฝีมือ รักษาฉกาจรักษาอาการหนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย เราเห็นฝีมือมา 20 ปี ดีตลอด หมอคนนั้นคือหมอเพื่อไทย
“สถานการณ์นาทีนี้เหมือนเรารบอยู่หน้าค่ายหมายตีเมือง พี่น้องต้องมุ่งมั่น อย่าลังเลสงสัย ตั้งใจให้มั่น ทุบหม้อข้าวเข้าไปตีเมืองด้วยกัน วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ อยากได้เพื่อไทยเป็นรัฐบาล เลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบไม่ลังเล ให้เพื่อไทยไปเป็นรัฐบาล” อนุสรณ์กล่าว