วันนี้ (5 กุมภาพันธ์) พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับขบวนการเรียกรับเงินจากอธิบดีกรมการข้าวว่า เอกสารที่ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำมามอบให้มีประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งจะนำไปรวมกับสำนวนที่ทำไปแล้วก่อนหน้านี้
สำหรับคดีนี้มีการออกหมายเรียกพยาน ทั้งข้าราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐและพลเรือน มาให้ปากคำไปแล้วมากกว่า 10 ปาก ซึ่งภายในวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการเสนอศาลขออนุมัติหมายจับเพิ่มอีก 1 ราย ซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดกับ 1 ใน 4 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไปก่อนหน้านี้
ส่วนของบัญชีม้า พนักงานสอบสวนยังไม่ต้องการออกหมายจับ เพียงแต่ต้องการเรียกตัวมาสอบสวนว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไร และกรณีของผู้เสียหายจากขบวนการเดียวกันนี้ ขณะนี้มีการติดต่อมายังตำรวจ 2 หน่วย แต่ยังไม่มีการมาแจ้งความแต่อย่างใด
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ผู้เสียหายอื่นๆ ที่ยังไม่กล้าเข้าแจ้งความเพราะตัวเองมีส่วนในการกระทำการทุจริตจริงนั้น ตรงนี้เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถขยายวงความเสียหายออกไปได้ จึงอยากให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความ
ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นคนละเรื่อง อยากให้แยกแยะ เรื่องการตบทรัพย์ก็เป็นการกระทำความผิดที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งสามารถเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ ส่วนการทุจริตก็เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้เสียหายเอง
ด้าน พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีหนังสือแต่งตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนในคดีเรียกรับเงินอธิบดีกรมการข้าว โดยให้ พล.ต.ต. สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามเข้ามาช่วยทำคดีทั้งในด้านการสืบสวนสอบสวน ร่วมกับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ที่ทำคดีอยู่เดิม เนื่องจากมีความเห็นว่าคดีดังกล่าวขยายวงขอบเขตการสืบสวนสอบสวน
เมื่อถามถึงเหตุไฟไหม้บริเวณชั้น 2 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ กล่าวว่า ยังมองไม่เห็นว่ามีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับในคดีอยู่ในห้องที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ และถึงแม้พยานหลักฐานดังกล่าวถูกทำลายก็ไม่ได้ส่งผลต่อคดี เพราะหลักฐานที่ตำรวจมีก็เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้ทางพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบถึงจะทราบได้ว่ามีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับทางคดีเสียหายหรือไม่
