ญี่ปุ่นปิดดีลภาษียานยนต์กับสหรัฐฯ สำเร็จที่ 15% สร้างความชัดเจนให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ ทำราคาหุ้นยานยนต์ปรับตัวดีขึ้น สวนทางกับเกาหลีใต้ ซึ่งเสี่ยงพ่ายแพ้ในสมรภูมิยานยนต์ หากไม่สามารถปิดดีลกับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ
วันที่ 4 กันยายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งผู้บริหาร (Executive Orders) กำหนดอัตราภาษียานยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่นไว้ที่ 15% อย่างเป็นทางการ ลดลงจากปัจจุบันซึ่งโดนเรียกเก็บอยู่ที่ 27.5%
โดยจะมีผลภายในระยะเวลา 7 วันหลังคำสั่งฉบับดังกล่าวถูกเผยแพร่ใน Federal Register และจะมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ 7 สิงหาคม ซึ่งจะมีการคืนเงินภาษี หากมีการชำระภาษีในอัตราที่สูงกว่า 15% ในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังช่วยให้การค้ามีความชัดเจนเพิ่มขึ้น โดยระบุว่า อัตราภาษีที่กำหนดขึ้นใหม่ 15% ถือเป็น ‘ภาษีนำเข้าขั้นต่ำ’ (baseline tariff) ซึ่งจะไม่ถูกนำไปบวกซ้อน (Stacked) กับภาษีเดิมที่มีอยู่ก่อน
ทำให้สินค้าเดิมซึ่งเคยถูกเรียกต่ำกว่า 15% จะถูกปรับขึ้นมาให้เทียบเท่าระดับดังกล่าว ส่วนสินค้าซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตราที่สูงกว่าอยู่แล้ว เช่น เนื้อวัวญี่ปุ่น จะถูกเรียกเก็บที่อัตรา 41.4% ตามเดิม
การลงนามครั้งนี้ช่วยขจัดความไม่แน่นอนที่ส่งผลกระทบต่อภาคยานยนต์ญี่ปุ่นมานานหลายเดือน นับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษียานยนต์ญี่ปุ่น 25% ในเดือนมีนาคม เพิ่มเติมจากเดิมที่เรียกเก็บ 2.5% ภายใต้หลักการ Most Favored Nation
หุ้นยานยนต์ญี่ปุ่นปรับขึ้นรับข่าวดี
สร้างความโล่งใจให้กับนักลงทุนอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น สังเกตได้จาก ดัชนี Topix กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ ซึ่งพุ่งขึ้น 2.8% ในช่วงเปิดตลาด นับเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบหนึ่งเดือน
โดยหุ้นของกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์พากันปรับตัวขึ้นอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น Mazda Motor Corp. ที่มีราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% เช่นเดียวกันกับ Nissan Motor Co. ที่มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 5% ทั้งนี้ Mazda และ Nissan มีรายได้กว่า 50% มาจากอเมริกาเหนือ
Subaru Corp. ปรับขึ้น 5% ขณะที่ Toyota Motor Corp. และ Honda Motor ปรับขึ้นกว่า 3%
ฝั่ง Toyota ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมความพยายามของทรัมป์ โดยระบุว่ากรอบข้อตกลงดังกล่าว “ช่วยมอบความชัดเจนอย่างมาก” แม้ว่ารถยนต์เกือบทั้งหมดของ Toyota ที่ขายในสหรัฐฯ ราว 80% ถูกผลิตในอเมริกาเหนืออยู่แล้วก็ตาม
ในทางกลับกัน หุ้นผู้ผลิตยานยนต์ในเกาหลีใต้ปรับตัวลดลง เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวทำให้ ผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีใต้มีความเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นอย่างมาก
โดย Hyundai Motor ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 0.6% และ Kia Corp ราคาหุ้นลดลง 0.7%
นักวิเคราะห์มองผลบวกต่อราคาหุ้นแค่ช่วงสั้นๆ
มาซาฮิโระ ยามางุจิ หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดจาก SMBC Trust Bank ชี้ว่านักลงทุนรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีความกังวลอย่างมากว่าทรัมป์อาจจะกลับลำ หรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ประกาศไว้ในเดือนกรกฎาคม ดังนั้น การลงนามครั้งนี้จึงเป็นการยืนยันข้อตกลงอย่างเป็นทางการ
ยามางุจิยังเสริมอีกว่า เมื่ออัตราภาษี 15% ได้รับการยืนยันแล้ว บริษัทต่างๆ จะสามารถคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้แม่นยำขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับปรุงคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของภาคส่วนนี้ให้ดีขึ้นได้.
ส่วนเซย์จิ ซุงิอุระ นักวิเคราะห์จาก Tokai Tokyo Intelligence Laboratory Co., แสดงความเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะ ‘มีผลอย่างจำกัดในช่วงสั้นๆ’ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วในระดับหนึ่ง หลังมีการประกาศข้อตกลงในเดือนกรกฎาคม
ทั้งนี้ ซุงิอุระยังชวนจับตาว่าบริษัทต่างๆ ในภาคยานยนต์ จะสามารถนำความได้เปรียบจากอัตราภาษีที่ลดลงมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
ญี่ปุ่นทุ่มลงทุนในสหรัฐฯ 550,000 ล้านดอลลาร์
นอกจากกรอบอัตราภาษีใหม่แล้ว คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับล่าสุดของทรัมป์ยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงที่จะลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่าสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ ตามข้อตกลงที่ประกาศไว้ในเดือนกรกฎาคม
โดยการลงทุนจะอยู่ในรูปแบบของตราสารทุน (equity), เงินกู้ และการค้ำประกันจากธนาคารของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นผู้เลือกโครงการที่จะได้รับการลงทุนเหล่านี้ และมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เกี่ยวกับรายละเอียดการลงทุนเรียบร้อยแล้ว
ทำเนียบขาวระบุว่า การลงทุนนี้จะช่วยสร้างงานในสหรัฐฯ หลายแสนตำแหน่ง, ขยายฐานการผลิตในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่สหรัฐฯ
ไม่เพียงเท่านั้น ญี่ปุ่นยังให้คำมั่นว่าจะซื้อข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 75% ภายใต้โควตานำเข้าข้าวขั้นต่ำ (Minimum Access) รวมถึงสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, ปุ๋ย, และเชื้อเพลิงชีวภาพ (bioethanol) รวมเป็นมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
ญี่ปุ่นจะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) จำนวน 100 ลำ รวมถึงเพิ่มงบประมาณการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ด้านกลาโหมจากบริษัทสหรัฐฯ เป็น 17,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี แลกกับสหรัฐฯ เว้นการเก็บภาษีเครื่องบินพาณิชย์และชิ้นส่วนนำเข้าจากญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังกำลังดำเนินการผ่อนคลายเงื่อนไข เพื่อยอมรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ผลิต และได้รับการรับรองความปลอดภัยในสหรัฐฯ โดยไม่ต้องทำการทดสอบเพิ่มเติมในญี่ปุ่น รวมถึงเปิดทางให้สหรัฐฯ ‘อาจแก้ไขคำสั่งได้ตามความจำเป็น’ หากญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติตามข้อผูกพัน
เกาหลีใต้ ดีลไม่ลงตัวทั้งในและนอกประเทศ
แม้เกาหลีใต้จะต้องการข้อเสนอภาษี 15% แบบญี่ปุ่นมากเพียงใด แต่ปลายทางกลับยังไม่ง่าย เนื่องจากปัญหาสำคัญทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่ไม่ลงตัวเกี่ยวกับรายละเอียดของข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ รวมถึงขาดการยอมรับจากสาธารณชนในประเทศ
โดยเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ยังตกลงรายละเอียดของเงิน 350,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะลงทุนในสหรัฐฯ ไม่ได้ ซึ่งเกาหลีใต้ชี้แจงว่า เงินลงทุนโดยตรง (Direct Investment) จะเป็นเพียงส่วนน้อย และเงินส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเงินกู้และการค้ำประกันมากกว่า
ขณะที่ คิมยองบอม ที่ปรึกษาประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยอมรับว่า ผู้ผลิตรถยนต์ในเกาหลีใต้ มีความไม่พอใจต่อข้อเสนอของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีต่อสหรัฐฯ แต่รับปากว่าจะจัดทำข้อเสนอที่สาธารณชนยอมรับให้ได้ ผ่านการหารือเพิ่มเติมกับรัฐสภา
อ้างอิง:
- https://www.whitehouse.gov/presidential-actions/2025/09/implementing-the-united-states-japan-agreement/
- https://www.reuters.com/business/trump-signs-order-bring-lower-japanese-auto-tariffs-into-effect-2025-09-04/
- https://www.reuters.com/business/autos-transportation/south-korea-expects-impact-autos-trumps-japan-trade-deal-2025-09-05/
- https://asia.nikkei.com/business/markets/japan-auto-stocks-jump-as-trump-brings-tariffs-down
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-09-05/japan-auto-shares-boosted-by-tariff-relief-as-trump-signs-order