ถือเป็นเหตุสะเทือนขวัญครั้งที่ 2 สำหรับญี่ปุ่นนับตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ หลังเครื่องบินโดยสาร Airbus A350 ของสายการบิน Japan Airlines เที่ยวบินที่ 516 ชนเข้ากับเครื่องบินอีกลำของหน่วยยามฝั่งระหว่างลงจอดที่สนามบินฮาเนดะ ในกรุงโตเกียว เมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา จนส่งผลให้เครื่องบินทั้งสองลำเกิดไฟลุกไหม้ คร่าชีวิต 5 ลูกเรือของเครื่องบินยามฝั่งที่กำลังเตรียมออกบินไปช่วยเหยื่อแผ่นดินไหว ในขณะที่นักบินบาดเจ็บสาหัส
สาเหตุที่ทำให้เครื่องบินชนกันนั้น ทางการญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างสืบสวน แต่มีรายงานจากสำนักข่าว NHK ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงคมนาคมญี่ปุ่น ระบุว่า เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ (Air traffic controller: ATC) ของสนามบินฮาเนดะ ได้อนุญาตให้เครื่องบิน Japan Airlines ลงจอด และได้สั่งการให้เครื่องบินของหน่วยยามฝั่งที่เตรียมขึ้นบินรออยู่นอกรันเวย์ แต่ยังไม่แน่ชัดว่าทำไมเครื่องบินจึงไปอยู่บนรันเวย์ ซึ่งรายละเอียดการสืบสวนยังไม่มีการเปิดเผย
ขณะที่ผู้โดยสารและลูกเรือของเครื่องบิน Japan Airlines จำนวน 379 ชีวิตรอดตายจากเหตุการณ์นี้ หลังควันไฟที่คละคลุ้งและสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอดทำให้พวกเขาอพยพออกมาจากเครื่องบินได้ทันก่อนที่ไฟจะโหมไหม้ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะควบคุมเพลิงได้สำเร็จ
โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การที่ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดหนีออกจากเครื่องบินได้หลังเกิดเหตุการณ์นี้ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา โดยมองว่า การอพยพอย่างรวดเร็วชนิดไร้ข้อบกพร่องและเทคโนโลยีใหม่ๆ มีส่วนสำคัญสำหรับการรอดชีวิตของพวกเขา
“ราวกับนรก”
ผู้โดยสารหลายคนเผยถึงวินาทีชีวิตและการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความโกลาหล
แอนตัน เดเบ ผู้โดยสารชาวสวีเดนวัย 17 ปี ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Aftonbladet ของสวีเดน โดยเล่าถึงความวุ่นวายหลังเครื่องบินชนกันและเครื่องบิน Japan Airlines ได้หยุดชะงักบนรันเวย์ โดยบอกว่า “ห้องโดยสารทั้งหมดเต็มไปด้วยควันภายในไม่กี่นาที” และควันที่คละคลุ้งในห้องโดยสารนั้นทำให้แสบจมูกราวกับอยู่ในนรก
“ควันในห้องโดยสารแสบจมูกราวกับนรก มันคือนรกเลย เราทิ้งตัวลงบนพื้น จากนั้นประตูฉุกเฉินก็ถูกเปิดออก และเราก็พุ่งตัวออกไป เราไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน เลยวิ่งออกไปที่สนาม มันโกลาหลไปหมด”
โดยเขา พ่อ-แม่ และน้องสาว สามารถหลบหนีจากเครื่องบินที่ไฟลุกไหม้ได้ทั้งหมดโดยไม่ได้รับอันตราย
BBC รายงานคำบอกเล่าจาก ซาโตชิ ยามาเกะ ผู้โดยสารวัย 59 ปี ซึ่งกล่าวว่า “เขารู้สึกว่าเครื่องบินเอียงไปด้านข้าง และรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงในการชนครั้งแรก”
โดยเขาประเมินว่า ผู้โดยสารทั้งหมดสามารถอพยพออกมาจากเครื่องบินได้ในเวลาประมาณ 5 นาที และประมาณ 10.15 นาทีไฟจึงได้ไหม้ลามไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องบิน
ผู้โดยสารรายหนึ่งเล่าว่าเห็นประกายไฟนอกหน้าต่างและห้องโดยสารเต็มไปด้วยควัน ขณะที่อีกรายบอกกับ Kyodo News ว่า “ได้ยินเสียงดังเหมือนเครื่องบินชนอะไรบางอย่างและเครื่องบินก็กระตุกทันทีที่ลงจอด”
ทั้งนี้ ภาพและคลิปวิดีโอจากผู้โดยสารบางคนที่บันทึกภาพวินาทีระทึกดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ทั้งภาพประกายไฟสีแดงจากเครื่องยนต์ ควันไฟที่คละคลุ้งห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้โดยสารพากันตะโกน และลูกเรือพยายามควบคุมสถานการณ์
นอกจากนี้ยังมีคลิปวิดีโอและภาพที่แสดงให้เห็นถึงการอพยพของผู้โดยสารซึ่งรีบกระโดดออกจากประตูฉุกเฉินลงมาทางสไลเดอร์เป่าลม และบางคนล้มลงขณะพยายามวิ่งหนีให้ห่างจากเครื่องบิน
ผู้โดยสารรายหนึ่งเล่าว่า แผนการหลบหนีทำได้ยากขึ้นเนื่องจากมีประตูฉุกเฉินเพียงบานเดียวที่เปิดใช้
“ประกาศระบุว่าประตูด้านหลังและตรงกลางไม่สามารถเปิดได้ ทุกคนจึงต้องลงจากทางด้านหน้า” เขากล่าว
ขณะที่ผู้โดยสารหญิงอีกรายบอกกับ NHK ว่า ตอนเกิดเหตุบนเครื่องนั้นมืด ในขณะที่ไฟเริ่มไหม้ลามมากขึ้น ทำให้เธอคิดว่าจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว
“บนเครื่องบินเริ่มร้อนขึ้น และฉันคิดว่าพูดตามตรงนะ…ฉันคงไม่รอด” เธอกล่าว
ลูกเรือคุมสถานการณ์ ผู้โดยสารไม่แบกสัมภาระหนี
อเล็กซ์ มาเชอรัส นักวิเคราะห์การบิน บอกกับ BBC ว่า ลูกเรือสามารถเริ่มการอพยพผู้โดยสารตามหลักสูตรที่ฝึกมาได้ในช่วงสำคัญเพียงไม่กี่นาทีแรกหลังจากที่เครื่องบินเกิดการชน
โดยไฟนั้นลุกไหม้อยู่พื้นที่เดียวในช่วง 90 วินาทีแรก ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือมีเวลาอพยพ ขณะที่ลูกเรือสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าประตูฉุกเฉินบานไหนอยู่ห่างจากเปลวไฟ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำไมประตูทุกบานจึงไม่เปิดให้ผู้โดยสารอพยพ
นอกจากนี้การที่ไม่มีผู้โดยสารคนใดที่ถือกระเป๋าสัมภาระลงมา ก็ทำให้การอพยพทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
สำหรับเครื่องบิน Airbus A350 เป็นหนึ่งในเครื่องบินเชิงพาณิชย์รุ่นแรกๆ ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิต ซึ่งทนทานต่อการชนครั้งแรกและเพลิงไหม้ที่เกิดตามมา
สึบาสะ ซาวาดะ ผู้โดยสารวัย 28 ปี กล่าวว่า “ผมพูดได้เพียงว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ เราอาจตายไปแล้วก็ได้” ซึ่งแม้จะดีใจที่รอดชีวิต แต่ก็มีคำถามที่สงสัยคือ “ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?” และบอกว่าไม่มีแผนที่จะขึ้นเครื่องบินลำอื่นอีกจนกว่าจะได้รับคำตอบ
ภาพ: Obtained by Reuters via Reuters
อ้างอิง: