เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ธันวาคม) ระหว่างการหารือของคณะกรรมการด้านการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯ ต่อการกำกับและดูแลบริษัทในวอลล์สตรีท Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan ธนาคารเบอร์ต้นของโลก ได้ตอบกลับเหล่าวุฒิสมาชิกถึงประเด็นที่เกาหลีเหนือใช้การแฮ็กผ่านคริปโตเพื่อนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธสงครามว่า “ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับคริปโตมาโดยตลอด เพราะมันสัมพันธ์กับทั้งกลุ่มอาชญากรและการค้ายา ถ้าหากผมเป็นรัฐบาล ผมคงจะแบนคริปโตทั้งหมด”
ซึ่งในการหารือครั้งนี้ก็มีประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารชั้นนำต่างๆ ของโลกมาเข้าร่วมมากมาย ทั้งของ Wells Fargo, Bank of America, Citigroup, BNY Mellon, Goldman Sachs, State Street และ Morgan Stanley
โดย Jamie ยังมีการเรียกคริปโตในระหว่างการหารือครั้งนี้ว่าเป็น ‘Decentralized Ponzi Schemes’ หรือแชร์ลูกโซ่แบบปราศจากศูนย์กลาง รวมทั้งยังเรียก Bitcoin ว่าเป็นเหรียญหลอกลวงอีกเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น Elizabeth Warren วุฒิสมาชิกของรัฐแมสซาชูเซตส์ ยังตั้งคำถามต่อประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารชั้นนำต่างๆ ว่า บริษัทคริปโตควรดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมาย Anti-Money Laundering (การต่อต้านการฟอกเงิน) เช่นเดียวกับธนาคารหรือไม่ ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว
แต่ทาง CEDAR Innovation Foundation องค์กรด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับคริปโต ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นกับสำนักข่าว Cointelegraph ว่า การตั้งคำถามเหล่านี้ของ Elizabeth แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจในเทคโนโลยีบล็อกเชน
CEDAR ชี้ว่า มันเป็นการชี้นำในทางที่แย่มากๆ หากจะบอกว่าคริปโตทำให้เกิดการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายมากกว่าระบบการเงินแบบเก่า (Fiat Currency) หากแต่เหล่าซีอีโอธนาคาร และ Elizabeth กลัวว่าระบบการเงินแบบบล็อกเชน คริปโต หรือ DeFi จะเข้ามาเป็นภัยคุกคามต่อระบบการเงินดั้งเดิมต่างหาก
ทั้งนี้ Elizabeth เป็นหนึ่งในวุฒิสมาชิกที่ออกมาต่อต้านคริปโตมาโดยตลอด และมักจะชูประเด็นที่คริปโตเอื้อให้เกิดการทำธุรกรรมในกลุ่มผู้ก่อการร้าย อย่างที่เคยออกมาเรียกร้องเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในช่วงระหว่างสงครามของฮามาสและอิสราเอลที่มีการใช้คริปโตเพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส
ด้านราคา Bitcoin ปีนี้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น โดยล่าสุดปรับตัวขึ้นราว 7% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 43,000 ดอลลาร์ หลังทะลุ 40,000 ดอลลาร์ในเวลาเพียงแค่ 4 วัน และ
ในช่วงเช้าของวันนี้ (8 ธันวาคม) Bitcoin ย่อตัวลงเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับ 43,390 ดอลลาร์
ทั้งนี้ หลังจากที่ Bitcoin สามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 38,000 ดอลลาร์ จากข่าวการออกกองทุน Bitcoin Spot ETF ที่มีแนวโน้มจะอนุมัติในเดือนมกราคม 2024 ซึ่งกระแสข่าวดีนี้ทำให้มีการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญว่า Bitcoin จะสามารถไปแตะที่ 100,000 ดอลลาร์ หรือ 500,000 ดอลลาร์ได้
โดยในช่วงสัปดาห์ก่อนก็มีข่าวว่า Standard Chartered ประเมินว่า Bitcoin อาจพุ่งแตะ 100,000 ดอลลาร์ โดยอิงปัจจัยของการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF เช่นกัน และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ธันวาคม) Bloomberg ก็ประเมินว่า Bitcoin มีโอกาสพุ่งไปแตะ 50,000-530,000 ดอลลาร์ในอนาคต จึงทำให้มีกระแสการเก็งกำไรเข้ามาใน Bitcoin อย่างต่อเนื่องจนแตะ 44,000 ดอลลาร์ได้ ก่อนที่จะมีการขายทำกำไรจากนักลงทุนบางส่วน ทำให้ปรับตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 43,000 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ยังเป็นเหตุให้มีสัญญาการโดนบังคับชำระบัญชี (Liquidate) ของนักลงทุนสายชอร์ตมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ที่ตามมาจากการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของ Bitcoin ด้วย
อ้างอิง: