×

ถนน หนทาง และชีวิตใหม่ของ แจ็ค วิลเชียร์ ที่กลับมาพบความรักในเกมฟุตบอลอีกครั้ง

04.04.2023
  • LOADING...

อากาศเย็นในเดนมาร์กยังไม่เท่ากับความเหงาที่ทำให้หัวใจทั้งหนาวและเหน็บ

 

แจ็ค วิลเชียร์ พยายามให้โอกาสตัวเองอีกครั้งกับโอกาสที่มาอย่างไม่คาดฝัน กับการย้ายมาเล่นในเดนมาร์กกับทีมเอจีเอฟ อาร์ฮุส ที่ยื่นมือให้กับนักเตะที่ไร้ซึ่งหนทาง ไม่มีสโมสรใดต้องการ และคำถามที่เจ็บที่สุดจากลูกชายว่า “ทำไมพ่อไม่มีทีม”

 

แต่การมาเดนมาร์กไม่ใช่ชีวิตที่ง่ายและดีอย่างที่เขาหวัง วิลเชียร์ที่อยู่ไกลบ้านถึง 8,000 ไมล์ ต้องพยายามใช้ชีวิตทุกอย่างด้วยตัวเอง ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการลงซ้อมและลงแข่ง ขณะที่แฟนบอลของทีมเองก็ไม่ได้นิยมชมชอบอะไรเขามากมายนัก

 

ฉันมาทำอะไรที่นี่? วิลเชียร์ได้แต่แอบคิดและสงสัย มันเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มสูญเสียความรักต่อสิ่งที่เขารักที่สุดมาตลอดชีวิต มากกว่าคำว่าหมดไฟ เขารู้สึกว่าเขาเริ่มหมดรักต่อการเล่นฟุตบอล

 

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว 

 

แต่ก่อนที่แสงสว่างในชีวิตจะดับลง เขาได้โอกาสที่ไม่คาดฝัน กับการได้กลับมาอาร์เซนอลที่เสนองานใหม่ให้ ซึ่งแม้จะไม่ใช่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนเดิม แต่การได้คุมทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ก็เป็นสิ่งที่วิลเชียร์รู้สึกสนใจ

 

การได้เห็นเด็กๆ เหล่านี้ทุกวัน มันเหมือนเขาได้กลับไปมองย้อนเรื่องราวของตัวเองอีกครั้ง

 

 

ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน แจ็ค วิลเชียร์ คือเพชรเม็ดงามในทีมเยาวชนของอาร์เซนอล เขาสร้างชื่อมาตั้งแต่เด็ก และชื่อของเขาก็กระฉ่อนที่สุดในรายการเอฟเอยูธคัพ 2008 เมื่อเป็นกำลังสำคัญให้ Young Guns ทั้งหลาย ด้วยการทำ 1 ประตูกับอีก 2 แอสซิสต์ในนัดชิงชนะเลิศกับลิเวอร์พูล

 

ผลงานในระหว่างนั้น ซึ่งรวมถึงการระเบิดฟอร์มในทีมสำรองของอาร์เซนอล ทำให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ตัดสินใจดันเขาเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2008/09 มอบเสื้อหมายเลข 19 ให้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางอันมหัศจรรย์ของกองกลางพรสวรรค์สูงส่งที่เป็นดาวจรัสแสงของวงการฟุตบอลอังกฤษ

 

เพียงแต่โชคร้าย อาการบาดเจ็บมากมาย โดยเฉพาะรอยแตกร้าวที่ข้อเท้า บั่นทอนชีวิตการเล่นของเขาอย่างร้ายกาจ 

 

วิลเชียร์ไม่เคยกลับมาเป็นคนเก่าคนเดิมที่เคยยืนหยัดสู้กับโคตรบอลอย่าง ชาบี เอร์นานเดซ และ อันเดรส อิเนียสตา ได้อีกเลย และชีวิตของเขาก็ค่อยๆ ตกลงไปสู่ความมืดมนอนธการนับแต่นั้น

 

อย่างไรก็ดี กับบทบาทใหม่ของโค้ชวัย 31 ปี การได้ดูแลเด็กๆ รุ่นใหม่ ความท้าทายใหม่ๆ การทำงานในรูปแบบใหม่ๆ แม้กระทั่งการคอยอ่านและตอบอีเมลต่างๆ กับทีมงาน กลายเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้หัวใจที่เคยหนาวเหน็บของเขากลับมาอบอุ่นอีกครั้ง

 

“ผมรักงานนี้ จากใจจริงเลย” วิลเชียร์บอก “มันทำให้ผมกลับมาตกหลุมรักฟุตบอลอีกครั้ง”

 

เขายอมเปิดใจว่า เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าเขาสูญเสียความรักที่มีต่อเกมฟุตบอลไปแล้ว แม้ว่าหากมองย้อนไปถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็พอเข้าใจได้ ทั้งอาการบาดเจ็บที่พรากทุกอย่างไป การต้องระเห็จออกจากสโมสรที่รัก การใช้จ่ายวันเวลาอย่างสูญเปล่าไปกับสโมสรที่ตัวเขาไม่ได้มีความสุขด้วย ไปจนถึงช่วงเวลาที่รู้สึกว่าไม่มีใครต้องการเขาแล้ว

 

สิ่งเหล่านี้มันเจ็บเหมือนมีดกรีดลึกเข้ากลางใจ

 

แต่การได้กลับมายังอาร์เซนอลอีกครั้งช่วยบรรเทาและเยียวยา The Lost Prodigy คนนี้ “มันอาจเป็นเพราะนี่คืออาร์เซนอล ผมรู้สึกว่าผู้คนที่นี่ห่วงใยผมจากใจจริง และทุกคนก็ย่อมอยากอยู่กับคนที่ห่วงใยเราอยู่แล้ว”

 

 

เมื่อใจมา งานยากแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้งานมันจะใหญ่ก็เถอะ “ด้านการเป็นโค้ช ตอนแรกที่ผมกลับมามันเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ผมรักมัน กับการต้องพยายามหาทางเอาชนะคู่แข่ง พยายามจะหาทางที่จะต่อสู้กับแต่ละทีม พยายามพัฒนานักฟุตบอลแต่ละคน

 

“แน่นอนว่ามันเป็นโลกอีกใบที่แตกต่างจากที่ผมเคยอยู่ มันเป็นโลกที่ต้องมีการติดต่อสื่อสาร มีการโต้ตอบจดหมาย แต่ตอนนี้ผมอยู่ในที่ที่ผมทำได้ ผมทำทุกอย่างได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ส่วนเรื่องการเป็นโค้ชมันเป็นงานที่ผมชอบนะ”

 

ถึงจะเป็น Posterboy ของสโมสร (ที่สนามเอมิเรตส์สเตเดียมยังมีรูปของเขาอยู่เลย!) เคยเป็นฮีโร่ของแฟนบอล แต่วิลเชียร์ไม่ได้จะมาโชว์เก๋าว่า “พี่ผ่านมาก่อน” อย่างเดียว 

 

ในทางตรงกันข้าม เขาใส่ใจกับเรื่องของการศึกษาด้านแท็กติกอย่างมาก อีกสิ่งที่สำคัญที่เขาพยายามเรียนรู้คือ เรื่องของการจัดการด้านอารมณ์ ซึ่งหัวใจสำคัญที่เขาเรียนรู้คือ ก่อนจะมองใครในฐานะนักฟุตบอล เราต้องมองคนคนนั้นในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งก่อน

 

ที่ผ่านมาเขาเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีนักกับโค้ชบางคนที่ห่างเหินเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันคือสิ่งที่มีความหมายอย่างมาก ไม่ควรทิ้งให้ใครเปล่าเปลี่ยวและเดียวดาย 

 

บางครั้งแค่คำพูดไม่กี่คำก็เปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว

 

วิลเชียร์เรียนรู้สิ่งนี้จากครั้งหนึ่งที่อาร์เซนอลของเขาตกเป็นรองวัตฟอร์ดอยู่ 0-2 เมื่อจบครึ่งแรก ลูกทีมของเขากำลังห่อเหี่ยว แต่สิ่งที่เขาเลือกหยิบมาใช้พูดไม่ใช่การลงดีเทลเรื่องของแท็กติกการเล่นอะไรมากมาย

 

สิ่งที่วิลเชียร์บอกกับเด็กปืนน้อยในห้องแต่งตัววันนั้นคือ “พวกเรา…ลองดูในห้องนะ ลองดูทีมของเราแต่ละคน การที่เราจะตามหลัง 0-2 มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ขอแค่ลูกเดียว ถ้ายิงได้เราจะกลับมาชนะเกมนี้ได้ง่ายๆ เลย”

 

จบคำสุดท้ายของประโยค เขาสัมผัสได้ทันทีว่าสปิริตของทีมกลับมาอีกครั้ง และอาร์เซนอลน้อยก็กลับมาคว้าชัยชนะในเกมนั้นได้จริงๆ

 

เรียกได้ว่าเขาเริ่มค้นพบความมหัศจรรย์ของงานในการเป็นโค้ช และทีมของเขาที่กำลังเตรียมจะลงสนามเจอกับของแข็งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมเอฟเอยูธคัพ รอบรองชนะเลิศ ที่เอมิเรตส์สเตเดียม ก็เป็นทีมชุดที่มีความสำคัญต่ออนาคตของสโมสรอย่างมาก

 

 

มันคือโอกาสสำหรับเด็กๆ อย่าง ไมล์ ลูอิส-สเกลลี มิดฟิลด์ดาวเด่น, ลิโน ซูซี ฟูลแบ็ก, อมาริโอ โคเซียร์-ดูเบอร์รี ปีก และ อีธาน เอ็นวาเนรี กองกลางตัวรุกที่กลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเมื่อช่วงต้นฤดูกาลจะได้ฉายแวว

 

ถ้าจะมีใครสักคนในทีมที่สามารถก้าวไปสู่ทีมของ มิเกล อาร์เตตา ได้ นั่นคือความสำเร็จสูงสุดของเขาแล้วในเวลานี้

 

และเช่นเดียวกัน ความฝันใหม่สำหรับวิลเชียร์ ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้คือการที่สักวันจะได้เป็นนายใหญ่ของอาร์เซนอลเหมือนอาร์เตตา คนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีม และตอนนี้กลายเป็นต้นแบบให้เขาศึกษาเรียนรู้ ซึ่งแม้ตอนนี้เขามองว่าสไตล์การเล่นทีมของเขาคล้ายแม่พิมพ์อย่างผู้จัดการทีมชาวสเปน แต่หลังจากนี้เขาจำเป็นจะต้องค้นพบแนวทางการเล่นของทีมตัวเองให้ได้

 

แต่ตอนนี้เขาขอแค่สนุกกับการทำงานในทีมเยาวชนไปก่อน

 

“ถ้าทีมชุดใหญ่ดันบาร์ให้สูงขึ้น เราก็จะพยายามยกระดับตัวเองขึ้นเหมือนกัน” คำตอบสุดท้ายจากชายหนุ่มที่กลับมาค้นพบความสุขและความรักในเกมฟุตบอลอีกครั้ง

 

อ้างอิง:

FYI
  • แจ็ค วิลเชียร์ ประกาศอำลาสนามในวันที่ 8 กรกฎาคม 2022 ด้วยวัยเพียง 30 ปี โดยบอกว่า “ผมได้ใช้ชีวิตในความฝันไปแล้ว”  
  • อาการบาดเจ็บที่เป็นจุดเริ่มต้นช่วงเวลาเลวร้ายคือ การพบรอยร้าวที่ข้อเท้าในเกมพรีซีซันกับนิวยอร์ก เรด บูลส์ ในเดือนกรกฎาคม 2011 ซึ่งทำให้เขาต้องพลาดการลงสนามทั้งฤดูกาล และพลาดยูโร 2012 ด้วย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงที่ฟอร์มกำลังท็อปพีค
  • วิลเชียร์เคยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า อาการบาดเจ็บคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ชีวิตการเล่นของเขาพัง ซึ่งมันมาจากการที่เขาไม่ใช่นักเตะที่เร็วจัด ทำให้ต้องเล่นเสี่ยงด้วยการเลี้ยงบอลประชิดคู่แข่ง เพื่อหาทางเอาชนะให้ได้
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X