ราคาหุ้น Alibaba ผู้บุกเบิกอีคอมเมิร์ซของจีน พุ่งขึ้น 8% ในตลาดนิวยอร์ก แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน หลังผู้ร่วมก่อตั้งของบริษัทอย่าง แจ็ค หม่า เข้าซื้อหุ้นมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ถือเป็นสัญญาณสนับสนุนความเชื่อมั่นต่อบริษัทท่ามกลางความวุ่นวายในการบริหารและความพ่ายแพ้ในตลาดหุ้นมาอย่างยาวนาน
นอกจาก แจ็ค หม่า แล้ว โจเซฟ ไซ ประธานของบริษัท ซึ่งเป็นที่ปรึกษาคนสนิทของหม่า ยังซื้อหุ้นมูลค่าประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการซื้อครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ปี 2017
ข่าวการซื้อหุ้นนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลต่อการฟื้นตัวของจีนหลังโควิด ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเผชิญกับภาวะตลาดหุ้นที่ตกต่ำ บริษัท Alibaba เองก็สูญเสียมูลค่าไปกว่า 40% ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ PDD Holdings และเผชิญปัญหากับการปรับโครงสร้างองค์กร
การปรับตัวขึ้นของหุ้น Alibaba สอดคล้องกับดัชนีหลักของหุ้นจีนจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น 5% หลังจาก Bloomberg รายงานว่า รัฐบาลจีนเตรียมแผนช่วยเหลือตลาดหุ้นมูลค่า 2.78 แสนล้านดอลลาร์
ปัญหาต่างๆ ของ Alibaba รวมถึงการลาออกอย่างกะทันหันของ ดานิเอล จาง อดีตซีอีโอ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า หม่าอาจเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงกับบริษัทมากขึ้น โดยได้เคลื่อนไหวกิจกรรมสาธารณะมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังห่างไกลจากช่วงที่เขาเป็นบุคคลสำคัญบนเวทีการประชุมระดับโลก
วิลเลอร์ เชิน นักวิเคราะห์จาก Forsyth Barr Asia กล่าวว่า นี่อาจเป็นสัญญาณบางอย่างเมื่อพิจารณาจากภาพลักษณ์ของ แจ็ค หม่า และอาจช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาดในระยะสั้น ซึ่งนี่จะเป็นการซื้อหุ้นครั้งแรกของเขาในรอบ 8 ปี
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของหม่าครั้งล่าสุดนี้ถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนที่ดำเนินมาในรอบหลายปีหรือไม่ ที่ผ่านมามหาเศรษฐีรายนี้ค่อยๆ ขายหุ้นของเขาในบริษัทออกไป และมุ่งเน้นไปที่โครงการของเขาเอง รวมถึงการทำบุญด้วย เขาเปิดเผยแผนการที่จะขายหุ้น 10 ล้านหุ้น มูลค่าประมาณ 870 ล้านดอลลาร์ ในวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามเอกสารที่ยื่นเมื่อปีที่แล้ว แต่การซื้อคืนของหม่าก็เกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญสำหรับบริษัท
ไช่และซีอีโอคนใหม่ เอ็ดดี้ วู มุ่งมั่นที่จะฟื้นฟู Alibaba ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หลังจากขั้นตอนการดำเนินงานที่ผิดพลาดในอดีตและแรงกดดันด้านกฎระเบียบได้แทรกแซงอิทธิพลของบริษัท Alibaba ที่เคยเผชิญกับความผันผวนของการบริโภคหลังโควิด และการปราบปรามของรัฐบาลที่ดำเนินมายาวนานหลายปี บัดนี้ต้องมาต่อสู้กับคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นอย่าง PDD และ ByteDance
อ้างอิง:
