2 เกมแรกในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ลุล่วงไปเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่สกอร์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นกลับเป็นสกอร์ที่เหนือความคาดหมาย ทั้งการที่เดนมาร์กถล่มเวลส์ 4-0 และอิตาลีต้องไปเหนื่อยถึงช่วงต่อเวลาก่อนจะเอาชนะออสเตรียไปได้ 2-1
ทำให้รอบ 16 ทีมสุดท้ายในคู่อื่นๆ ทุกคู่ที่จะเตะกันในอีก 3 ค่ำคืนนับจากนี้ ยังคงมีความน่าสนใจเนื่องจากความยากในการคาดเดาแบบใน 2 คู่ที่ผ่านมา แต่ก่อนจะไปถึงเกมเหล่านั้น มาว่ากันในเกมที่ผ่านไปแล้วกันก่อน
อิตาลี กับงานยากกว่าที่ควรจะเป็นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
การที่พวกเขามีฟอร์มสุดหรูมาในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเก็บ 9 คะแนนเต็ม ยิงได้ 7 ประตู และไม่เสียประตูให้ใคร ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่าอิตาลีจะต้องมีชัยเหนือออสเตรียได้อย่างไม่ลำบาก แต่ในเกมฟุตบอลแล้วไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ที่จะสามารถเอาฟอร์มมาเทียบแล้วสรุปได้ง่ายๆ ว่าผลการแข่งขันจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปที่อิตาลีต้องเจอกับงานยากในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายเช่นนี้
ทีมของ ฟรังโก โฟดา เตรียมตัวมาได้ค่อนข้างดี หลังจากที่รับมือกับการเพรสซิงเร็วของอิตาลีในช่วงต้นเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ในช่วงกลางๆ เกมจะมีหลุดๆ ไปบ้างและเกือบเสียประตู แต่ผลลัพธ์ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจ จนทำให้ทีมของ โรแบร์โต มันชินี เกือบแย่หากลูกโหม่งของ มาร์โก อาร์เนาโตวิช เป็นประตูไม่ใช่ลูกล้ำหน้า แม้สุดท้ายอิตาลีจะแก้เกมด้วยตัวสำรองและสัมฤทธิ์ผลในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้เป็นงานยากกว่าที่ควร
แม้จะผ่านเข้ารอบมาได้ แต่ ‘อัซซูรี’ ต้องหยุดสถิติไม่เสียประตูให้ใครไว้ที่ 1,168 นาที หลังเริ่มเก็บสถิตินี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้ ยังทำให้อิตาลีเพิ่มสถิติชนะต่อเนื่องไปเป็น 12 เกมภายใต้โค้ช โรแบร์โต มันชินี ซึ่งทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้ 11 เกมติดต่อกันในปี 2019 ลงเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับเพิ่มสถิติไม่แพ้ใครยาวนานติดต่อกันเป็น 31 เกมติดด้วย
แม้จะเจอการเตรียมตัวมาดี แต่อิตาลียังแสดงให้คู่แข่งของพวกเขาได้เห็นว่าแค่เตรียมตัวมาดีนั้นยังไม่เพียงพอ และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไปได้ โดยคู่แข่งของพวกเขาในรอบต่อไปคือผู้ชนะระหว่างเบลเยียมและโปรตุเกส ซึ่งถึงแม้ชื่อชั้นของพวกเขาจะเหนือกว่าออสเตรียทั้งคู่ แต่สิ่งที่ทำให้อิตาลีสบายใจได้คือทีมอาจจะไม่ต้องเจอเกมอึดอัดจากการเจาะไม่เข้าในรอบหน้าอีกแล้ว เพราะทั้งคู่ต่างเป็นทีมสายเกมรุกทั้งคู่ ดังนั้น รอบต่อไปเราก็พอจะการันตีได้ว่า จะได้เห็นเกมบุกแลกกันแบบสนุกไม่ว่าจะเป็นทีมไหนก็ตามที่เข้ามาเจอกับอิตาลีในรอบต่อไป
ออสเตรีย กับมรดกการเล่นงานอิตาลีที่ถูกทิ้งไว้
ออสเตรียสู้กับอิตาลีได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ว่าสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะต้องตกรอบไปด้วยน้ำมือทีมของมันชินี แต่พวกเขาก็มีชื่อเป็นทีมแรกที่ยิงใส่ทีมชาติอิตาลีได้นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน และทำให้ทัพ ‘อัซซูรี’ ที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทานในรอบแบ่งกลุ่มมา เจาะพวกเขาไม่เข้าได้สำเร็จในเกมนี้ด้วย ดังนั้นถึงจะต้องตกรอบไป แต่ออสเตรียก็เป็นทีมที่น่ายกย่องอยู่ดี
นอกจากจะโชว์ฟอร์มได้ดีแล้ว ออสเตรียยังทิ้งมรดกสำคัญอย่างพิมพ์เขียวในการต่อกรกับอิตาลีที่ดูจะไร้จุดอ่อนเมื่อจบรอบแบ่งกลุ่ม โดยรูปแบบที่พวกเขาทิ้งไว้คือการลงมาแพ็กเกมรับ และไล่เพรสซิงแข่งกับฝั่งของอิตาลี พร้อมกับพยายามโยนบอลตัดกองกลางของอิตาลีไปให้กองหน้าดวลกับแนวรับของทีมจากแดนโรงเท้าบู๊ต ที่ไม่ค่อยจะมีความเร็วทั้ง ฟรานเชสโก อแชร์บี และ เลโอนาร์โด โบนุชชี
ที่น่าเสียดายคือในเกมวันนี้แม้จะมีพิมพ์เขียวที่ดีแล้ว แต่แนวรุกของออสเตรียอย่างอาร์เนาโตวิชไม่ใช่กองหน้าที่มีความเร็ว ทำให้หลายๆ ครั้งที่การโต้กลับของพวกเขาควรจะเอาชนะแนวรับอิตาลีได้ กลายเป็นทำไม่สำเร็จเพราะต้องถูกลูกเก๋าของสองเซ็นเตอร์แบ็กอิตาลีชะลอไว้ แต่เรื่องจะต่างออกไปถ้าหากเป็นกองหน้าอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, โรเมลู ลูกากู หรือ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่อิตาลีอาจจะเจอในอนาคต
เกมนี้จึงเป็นเกมสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เจออิตาลี อาจจะต้องมาศึกษาพร้อมกับนำแผนที่ว่าไปใช้ เพื่อที่จะเล่นงานทีมที่กลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งของยูโร 2020 ครั้งนี้ไปแล้วให้อยู่หมัดให้ได้ อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่ามันชินีก็เป็นหนึ่งในโค้ชฝีมือดีของวงการฟุตบอล เขาเองก็อาจจะเห็นจุดอ่อนของทีมในเกมนี้เหมือนกัน และอาจจะมีการแก้ไขปรับปรุงทีมในนัดต่อๆ ไปก็ได้ ดังนั้นการรับมืออิตาลีของออสเตรียในเกมนี้จึงมีความหมายอย่างมากต่อการชี้ชะตารอบลึกๆ ของฟุตบอลยูโรครั้งนี้เลยก็ว่าได้
ฟอร์มสุดหรูของเดนมาร์กที่ทำให้พวกเขายังไม่น่าถูกกาชื่อทิ้ง
เดนมาร์กเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยูโรที่สามารถยิง 4 ประตูติดต่อกันได้ 2 เกมขึ้นไป นั่นอาจจะพิสูจน์ได้ว่าชัยชนะในเกมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่มแบบไล่ถลุงรัสเซียมา 4-1 ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเป็นเพียงแค่ลูกฮึดธรรมดาๆ เพื่อหวังที่จะผ่านเข้ารอบ หลังเล่นได้อย่างเหนือชั้นในเกมที่เอาชนะเวลส์ 4-0 และเข้ารอบไปพบกับผู้ชนะระหว่างเนเธอร์แลนด์กับสาธารณรัฐเช็ก
เกมนี้ แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ทำสถิติที่น่าสนใจหลังจากยิง 2 ประตูแรกให้กับทัพ ‘โคนม’ โดยเขาเป็นนักเตะเดนมาร์กคนแรกนับตั้งแต่ ‘ลอร์ดเบนด์ต’ นิคลาส เบนด์ตเนอร์ ที่ยิง 2 ประตูให้ทีมได้ในการแข่งขันฟุตบอลยูโรเกมเดียวนับตั้งแต่ปี 2012 โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะ ‘เดนส์’ คนแรก ที่ทำประตูในรอบน็อกเอาต์ให้ เดนมาร์ก นับตั้งแต่ประตูสุดท้ายของ คิม วิลฟอร์ต ในปี 1992 ด้วย
พอเป็นแบบก็ทำให้แฟนบอลคิดถึงเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันในปี 1992 ที่พวกเขาพลิกล็อกเอาชนะฝรั่งเศส 2-1 ในนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม และเข้ารอบรองชนะเลิศมาได้แบบฉิวเฉียดก่อนไปเจอกับเนเธอร์แลนด์ และนัดชิงชนะเลิศเอาชนะเยอรมนีมาได้ ซึ่งเส้นทางของพวกเขาในปีนี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไร หลังจากต้องดิ้นรนถึงนัดสุดท้ายเพื่อเข้ารอบและทำได้สำเร็จ แถมในรอบหน้าก็มีโอกาสพบกับเนเธอร์แลนด์เหมือนกัน และรอบหลังจากนั้นก็มีโอกาสเจอกับเยอรมนีด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1992 ยังต่างกับในปีนี้อยู่หลายจุด โดยเฉพาะฟอร์มของเนเธอร์แลนด์ ที่ในปีนี้พวกเขาเอาชนะได้ทั้ง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มชนิดที่ไม่มีใครกังขาในฝีเท้า ต่างจากในปี 1992 ที่ชนะ 2 นัด แพ้ 1 นัด และนอกจากนี้มันยังไม่มีอะไรการันตีว่าคู่แข่งในรอบต่อไปของเดนมาร์กจะเป็นทีม ‘อัศวินสีส้ม’เพราะต้องผ่านสาธารณรัฐเช็กมาให้ได้ก่อนด้วย และฟุตบอลทัวร์นาเมนต์นี้ยังอีกยาวไกลนักกว่าจะรู้ผลในตอนจบ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024478–wales-vs-denmark/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024477–italy-vs-austria/
- https://www.skysports.com/football/italy-vs-austria/report/421519
- https://www.skysports.com/football/wales-vs-denmark/report/421518
- https://www.bbc.com/sport/football/57626663