ออร์นา ซากิฟ เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย แถลงต่อสื่อมวลชนที่สถานเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยในวันนี้ (13 พฤศจิกายน) ชี้แจงสถานการณ์สู้รบล่าสุดระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา โดยยืนยันความสำคัญสูงสุดสำหรับอิสราเอลในขณะนี้คือการช่วยเหลือตัวประกันทุกคนทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ รวมถึงชาวไทย 25 คน ที่ถูกกลุ่มฮามาสลักพาตัวไป
เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลฯ เน้นย้ำว่า การทำสงครามในฉนวนกาซานั้นเป็นไปตามกฎหมายสงคราม (Law of War) และอิสราเอลไม่ได้เป็นฝ่ายต้องการทำสงครามก่อน หากแต่ถูกผลักเข้าสู่สงครามเพื่อปกป้องตัวเองจากการก่อการร้ายของกลุ่มฮามาสที่บุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,400 คน และถูกจับไป 239 คน
โดยปฏิบัติการล่าสุดตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กองทัพอิสราเอลยังอยู่ในช่วงการปิดล้อมเมืองกาซาซิตี้ ซึ่งกองกำลังทหารอิสราเอลพร้อมรถถังที่ได้รับการสนับสนุนจากการโจมตีทางอากาศและทางทะเลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการบุกอย่างเข้มข้น
ขณะที่ผลจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลส่งผลให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาเพิ่มมากกว่า 11,000 คน ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลฯ ชี้แจงถึงนโยบายของกองทัพอิสราเอลในการทำสงครามครั้งนี้ คือหลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือน และสนับสนุนให้มีการอพยพพลเรือนทั้งหมดจากพื้นที่ตอนเหนือลงไปทางตอนใต้ของกาซา ซึ่งที่ผ่านมากองทัพอิสราเอลได้มีความพยายามทั้งการเปิดระเบียงมนุษยธรรมเพื่อให้มีการอพยพ และแจกใบปลิวและประกาศเตือนให้มีการอพยพล่วงหน้า
โดยเธอยืนยันว่าอิสราเอลไม่ได้มองประชาชนปาเลสไตน์ในกาซาเป็นศัตรู และไม่ต้องการเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามมุสลิมชน แต่ฝ่ายที่สมควรถูกประณามคือกลุ่มอามาส
อย่างไรก็ตาม ช่วงหลายวันที่ผ่านมาปรากฏรายงานการทิ้งระเบิดโจมตีพื้นที่โรงพยาบาลและค่ายผู้ลี้ภัยหลายแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลอัลชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในกาซา โดยอิสราเอลกล่าวหากลุ่มฮามาสว่าใช้โรงพยาบาลและพื้นที่ชุมชนเป็นฐานโจมตี และใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
องค์การสหประชาชาติเผยว่า มีพยาบาลอย่างน้อย 3 คน เสียชีวิตจากการโจมตีโรงพยาบาลอัลชิฟา และล่าสุดโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่สามารถรับรักษาผู้ป่วยได้แล้ว โดยระบบไฟฟ้าใช้การไม่ได้ ทำให้มีทารกเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 6 คน และมีผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลติดอยู่ภายในมากกว่า 2,000 คน
โดยประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอลยืนกรานปฏิเสธว่า กองทัพอิสราเอลไม่ได้เป็นฝ่ายโจมตี และระบบไฟฟ้าในโรงพยาบาลอัลชิฟายังใช้การได้
สำหรับเป้าหมายหลักในการทำสงครามในกาซาของอิสราเอลนั้น เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลฯ ชี้ว่าคือการทำลายล้างศักยภาพด้านการทหารและการปกครองของกลุ่มฮามาสและกลุ่มญิฮาดอิสลามปาเลสไตน์ (Palestinian Islamic Jihad: PIJ) พร้อมกำจัดภัยคุกคามทั้งหมดในบริเวณพรมแดนกาซา
ส่วนความหวังการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซานั้น เธอย้ำว่าอิสราเอลจะไม่เจรจากับกลุ่มก่อการร้ายอย่างฮามาส และจะไม่พูดคุยกับฝ่ายใดที่ไม่มองถึงการดำรงอยู่ของอิสราเอลบนแผนที่โลก
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลฯ ยังกล่าวถึงอิหร่านและกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านให้การสนับสนุน ทั้งกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน และกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย ที่พยายามโจมตีต่ออิสราเอล โดยเตือนว่าอิหร่านและกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้จะต้องชดใช้อย่างหนักหากอิสราเอลตัดสินใจเปิดฉากตอบโต้
ส่วนกรณีเกี่ยวกับแรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งตัดสินใจกลับไทยหลังเกิดการสู้รบ และมีความกังวลว่าอาจไม่สามารถเดินทางกลับไปทำงานในอิสราเอลได้อีกนั้น เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลฯ ยืนยันว่า รัฐบาลอิสราเอลยังคงให้การต้อนรับแรงงานต่างชาติเสมอ และพร้อมให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในการกลับไปทำงานที่อิสราเอลได้เหมือนเดิม พร้อมยืนยันว่าแรงงานไทยจะไม่ต้องเผชิญกับขั้นตอนที่ยุ่งยากใดๆ หากมีความต้องการกลับไปทำงานต่อ
ส่วนแรงงานไทยที่ตัดสินใจอยู่ทำงานต่อนั้น ทางรัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่าจะเร่งสร้างที่อยู่ที่ปลอดภัยภายในค่ายพักให้มากขึ้น