เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด มกุฎราชกุมารแห่งอาบูดาบี ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า อิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพฉบับประวัติศาสตร์ โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งของดีลนี้คือ อิสราเอลจะละทิ้งแผนประกาศอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเวสต์แบงก์ที่ครอบครองอยู่ชั่วคราว
ในแถลงการณ์ร่วมของสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระบุว่า อิสราเอลและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ภาวะปกติ ซึ่งถือเป็นก้าวย่างประวัติศาสตร์ในทางการทูตของทั้งสองประเทศและตะวันออกกลาง โดยสองประเทศเตรียมจะจัดตั้งสถานทูตและแลกเปลี่ยนทูตระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กลายเป็นรัฐอาหรับประเทศที่ 3 ที่สถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลต่อจากอียิปต์และจอร์แดน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ระบุว่า ข้อตกลงนี้เป็นก้าวย่างสำคัญสู่การสร้างสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรืองในตะวันออกกลาง พร้อมแนะนำให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคดังกล่าว เดินตามรอยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยทรัมป์เผยว่า เขาได้พูดคุยกับประเทศอื่นๆ ไปแล้ว ซึ่งเราอาจได้เห็นข้อตกลงที่คล้ายคลึงกันนี้ตามมาอีก
ด้านเนทันยาฮูยกย่องข้อตกลงนี้ว่า เป็นยุคสมัยใหม่ที่เปิดกว้างระหว่างอิสราเอลและโลกอาหรับ พร้อมประกาศว่า อิสราเอลจะส่งเสริมการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม ปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งของอิสราเอลในประเด็นเวสต์แบงก์ ได้ออกมาคัดค้านข้อตกลงดังกล่าว โดยระบุว่า ดีลนี้ถือเป็นการยอมรับโดยพฤตินัยว่า เยรูซาเล็มมีฐานะเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งที่ผ่านมาปาเลสไตน์ยืนกรานมาตลอดว่า เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของตน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: