×

มองตัวเลือก อิสราเอล-อิหร่าน-สหรัฐฯ ใครมีไพ่อะไรในมือ ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้ง?

18.06.2025
  • LOADING...
israel-iran-us

การโจมตีตอบโต้โดยตรงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน สร้างความกังวลไปทั่วโลก ว่าสถานการณ์อาจบานปลาย จนท้ายที่สุดกลายเป็นอีก ‘สงครามใหญ่’ ที่ก่อผลกระทบมากมาย 

 

จนถึงวันนี้ มีประชาชนทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตจากการโจมตี โดยอิหร่านมากกว่า 240 คน รวมถึงผู้นำกองทัพและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์หลายคน ขณะที่อิสราเอล ตามรายงานล่าสุดยังอยู่ที่ 24 คน

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลหลายอย่างไม่มีรายงานและยังคลุมเครือ เช่นความเสียหายของเป้าหมายสำคัญแต่ละฝ่าย หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่ในคลังแสงของทั้งสองประเทศ จึงทำให้เกิดคำถามว่า ณ ตอนนี้ ทั้งอิสราเอลและอิหร่าน มีไพ่อะไรอยู่ในมือบ้าง และจะเดินเกมสู้รบรอบนี้อย่างไร และจะสู้รบกันไปได้นานเพียงใด 

 

ขณะที่อีกตัวละครที่มีบทบาทสำคัญคือสหรัฐฯ ที่แม้จะไม่ได้เข้าร่วมในการสู้รบ แต่ท่าทีและการตัดสินใจต่างๆ ของรัฐบาลวอชิงตัน แน่นอนว่าจะส่งผลต่อทิศทางของความขัดแย้ง

 

น่าสนใจว่าแต่ละฝ่ายมีตัวเลือกอะไรบ้าง และที่สุดแล้วความขัดแย้งของ 2 ชาติ ที่เป็นศัตรูกันมายาวนานจะไปจบลงตรงไหน

 

อิหร่านมีศักยภาพ แต่ต้องเลือกไพ่อย่างระวัง

 

สิ่งที่เรารู้ก็คือ อิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโครงการขีปนาวุธที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยมีขีปนาวุธพิสัยไกลหลายพันลูกที่มีพิสัยและความเร็วที่แตกต่างกัน 

 

ระดับการโจมตีของอิหร่านในแต่ละวัน ที่บางระลอกมีการยิงขีปนาวุธหลักหลายสิบถึงนับร้อยลูก ทำให้คาดว่าอิหร่านน่าจะโจมตีอิสราเอลต่อไปได้อีกหลายสัปดาห์ ซึ่งเพียงพอจะทำให้อิสราเอลได้รับความเสียหายอย่างหนัก 

 

ขีปนาวุธประสิทธิภาพสูงที่อิหร่านมี เช่น ขีปนาวุธ Haj Qasem ถูกนำมาใช้โจมตีอิสราเอลเป็นครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ (15 มิถุนายน) ที่ผ่านมา โดยสามารถหลบเลี่ยงการป้องกันทางอากาศของอิสราเอลได้ และภาพที่ถ่ายจากอิสราเอล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างในด้านพลังและความเร็วเมื่อเทียบกับขีปนาวุธรุ่นเก่าที่อิหร่านใช้ในการยิงถล่มอิสราเอลก่อนหน้านี้

 

แน่นอนว่าอิหร่านมีขีปนาวุธล้ำสมัยในปริมาณไม่จำกัด และท้ายที่สุดแล้วจะต้องวางแผนการใช้งานให้เหมาะสม ขณะที่ขีปนาวุธมาตรฐานและโดรนจู่โจมอีกหลายพันลำ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้อิหร่านยังมีศักยภาพทางทหารเพียงพอที่จะสร้างบาดแผลใหญ่ให้กับอิสราเอลได้ 

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อิหร่านยังคงระวังและหลีกเลี่ยง คือการโจมตีฐานทัพหรือบุคลากรของสหรัฐฯ​ โดยที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า อิหร่านจะเผชิญผลลัพธ์อย่างรุนแรง หากโจมตีผลประโยชน์หรือบุคลากรของสหรัฐในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงฐานทัพทหารที่กระจายอยู่ทั่วตะวันออกกลาง

 

ผู้นำสูงสุดอย่าง อายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ต้องตัดสินใจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง หากยังไม่ต้องการสู้รบโดยตรงกับสหรัฐฯ หรือทำให้เกิดข้ออ้างใดๆ ที่วอชิงตันจะตัดสินใจเพิ่มกำลังรบให้กับอิสราเอล

 

ขณะที่อิหร่านยังต้องคำนึงถึงประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลาง ซึ่งไม่ใช่ศัตรูและอาจเป็นตัวกลางที่มีศักยภาพ เช่น คูเวต, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย และตุรกี และน่าจะต้องเลี่ยงการโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในประเทศเหล่านี้ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม อิหร่านยังมีทางเลือกอื่นเช่นกัน โดยที่ผ่านมาผู้นำอิหร่านขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งอยู่ระหว่างอิหร่านกับโอมาน ซึ่งจะส่งผลให้การขนส่งน้ำมันหลายล้านบาร์เรลต่อวันหยุดชะงักลงทันที 

 

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และมองว่ามีความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะใช้ไพ่ใบนี้ หากการสู้รบมีแนวโน้มยืดเยื้อ

 

แต่ท้ายที่สุดแล้ว คาดว่าอิหร่านจะต้องมองหาทางออกที่จะยุติความขัดแย้ง ก่อนจะลุกลามกลายเป็นสงครามใหญ่ ที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความไม่สงบภายในประเทศ

 

โดยก่อนหน้านี้ อับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ยืนยันว่าหากอิสราเอลหยุดการโจมตี อิหร่านก็จะหยุดเช่นกัน และยินดีที่จะกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ

 

ด้าน ผศ. ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มองว่า ใจกลางของการโจมตีกันระลอกนี้เป็นเรื่องของ ‘การพัฒนานิวเคลียร์’ ของอิหร่าน โดยเชื่อว่าอิหร่านยังคงต้องการที่จะบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ และชาติตะวันตก เพื่อที่จะปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตร

 

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าในมุมมองของอิหร่าน ทางเลือกที่ต้องการอาจเป็นการยอมรับให้มีการพัฒนานิวเคลียร์ ภายใต้การกำกับของ IAEA โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปในทางการทหารก็ได้ หรืออาจจะยังไม่ต้องพูดถึงโครงการนิวเคลียร์และให้ระงับไปก่อน เพื่อแลกกับการปลดล็อกมาตรการคว่ำบาตรก่อน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่ ‘อิหร่านยอมรับได้’

 

ทางเลือกอิสราเอล โค่นเผด็จการอิหร่าน?

 

สำหรับอิสราเอล ทางเลือกในการเปิดฉากสู้รบโดยตรงแบบไม่ใช่สงครามตัวแทน (Proxy War) ต่ออิหร่าน ถูกจับตามองว่าเกิดขึ้นเพราะความต้องการยับยั้งอิหร่านไม่ให้มีอาวุธนิวเคลียร์เพียงอย่างเดียวหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ความต้องการไม่ให้อิหร่านและสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำมาซึ่งการผ่อนคลายหรือยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน

 

หลายฝ่ายจับตามองว่าอิสราเอลอาจใช้โอกาสในการสู้รบครั้งนี้ เดินเกมไปถึงขั้นโค่นล้มระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ในระบบนักบวชภายใต้การนำของ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี หรือไม่

 

ขณะที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ให้สัมภาษณ์สื่อโดยไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ของแผนสังหารคาเมเนอี ซึ่งเขามองว่าจะเป็นการปิดฉากความขัดแย้งและการสู้รบกับอิหร่าน มากกว่าที่จะทำให้การสู้รบขยายวงรุนแรงขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม ผศ. ดร.อาทิตย์ เชื่อว่า หากอิสราเอลมีแผนสังหารผู้นำสูงสุดของอิหร่านจริงๆ จะไม่ประกาศออกสื่อก่อนเช่นนี้ และทั้งหมดอาจเป็นเพียงคำขู่ให้อิหร่านหยุดโจมตีตอบโต้

 

“เขาอาจจะทำได้จริง ไม่ได้จริงนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เขาจะไม่สื่อสารก่อน นั่นแปลว่าเขาต้องการขู่ให้อิหร่านยุติการบุกโจมตีอิสราเอลก่อน ไม่เช่นนั้นการโจมตีระลอกถัดๆ ไปของอิสราเอลจะไปสู่ผู้นำสูงสุด”

 

วาลี นาสร์ (Vali Nasr) ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาตะวันออกกลางและกิจการระหว่างประเทศที่ Johns Hopkins School of Advanced International Studies และผู้เขียนหนังสือ Iran’s Grand Strategy ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2025 มองว่าในมุมของอิหร่าน คืออิสราเอลต้องการที่จะลดขีดความสามารถของอิหร่าน ทั้งในระดับรัฐและสถาบันทางทหารลง และเปลี่ยนสมดุลอำนาจระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอย่างเด็ดขาด โดยอาจโค่นล้มสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านทั้งหมดหากทำได้

 

ขณะที่ ผศ. ดร.อาทิตย์ ชี้ว่า อิสราเอลจะพยายามยืนยันว่า สิ่งที่อิหร่านเป็นอยู่นั้นคือ ‘ภัยคุกคาม’ ต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค เป็นปีศาจร้ายของสันติภาพระหว่างประเทศ และเป็น ‘รัฐผู้ก่อการร้าย’ 

 

3 ทางเลือกของสหรัฐฯ

 

สำหรับท่าทีของทรัมป์นั้น ยังยากจะคาดเดาว่าที่สุดแล้วเขาจะเลือกหนทางไหนในการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

 

ที่ผ่านมาเนทันยาฮูกล่าวว่า การโจมตีของอิสราเอลได้รับการประสานงานอย่างเต็มที่กับสหรัฐฯ ขณะที่อิหร่านเองก็ไม่เชื่อคำพูดของทรัมป์ ที่ยืนยันว่าสหรัฐฯ​ ไม่มีส่วนสนับสนุนอิสราเอลให้เปิดฉากโจมตี

 

ตัวเลือกที่เป็นไปได้ของสหรัฐฯ หลังจากนี้ ถูกมองว่าอาจเป็นไปได้ใน 3 แนวทาง คือ

 

  1. สหรัฐฯ จับมือเนทันยาฮูและขยายความรุนแรงของการสู้รบ
  2. สหรัฐฯ ไม่เข้าร่วมการสู้รบ และพยายามเสนอหยุดยิง
  3. ทรัมป์ ฟังเสียงผู้สนับสนุน ไม่ข้องเกี่ยวการสู้รบ กลับมามุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน

 

โดยทางเลือกที่ 2 นั้น ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบนเครื่องบิน Air Force One หลังตัดสินใจออกจากการร่วมประชุมผู้นำประเทศกลุ่มอุตสาหกรรม G7 ที่แคนาดา และเดินทางกลับสหรัฐฯ​ ก่อนกำหนด โดยยืนยันว่าเขา “กำลังมองหาสิ่งที่ดีกว่าการหยุดยิง”

 

​​ก่อนหน้านี้เขาโพสต์ข้อความลงใน Truth Social โดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ออกจากการประชุม G7 เพื่อไปดำเนินการเกี่ยวกับการหยุดยิง

 

“ผมไม่ได้ติดต่ออิหร่านเพื่อขอ ‘การเจรจาสันติภาพ’ ในรูปแบบใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าพวกเขาต้องการพูดคุย พวกเขาก็รู้ว่าจะติดต่อผมได้อย่างไร พวกเขาควรยอมรับข้อตกลงที่อยู่บนโต๊ะ ซึ่งจะช่วยชีวิตคนได้มากมาย!!!”

 

ผศ. ดร.อาทิตย์ เชื่อว่า สิ่งที่ทรัมป์เน้นย้ำนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในสมัยที่ 2 คือผลประโยชน์ของอเมริกา เห็นได้จากทริปเดินทางเยือน 3 ประเทศพันธมิตรในตะวันออกกลางอย่าง ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการทูตในเชิงธุรกรรม (Transactional Diplomacy) ที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่างตอบแทนแบบนักธุรกิจ

 

โดยหากมองในแบบทรัมป์ การร่วมมือด้านการลงทุน การค้า หรือการมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมกับอิหร่าน โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ อาจจะเป็นสิ่งที่ทรัมป์คาดหวังจะได้เป็นของแถมจากโต๊ะเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับอิหร่าน 

 

ดังนั้น สิ่งที่ทรัมป์น่าจะไม่ต้องการคือการขยายตัวของสงคราม ซึ่งอาจจะ ‘ไม่เป็นประโยชน์’ ในการตอบสนองต่อผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising