เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ เหตุการณ์ช็อกโลก ‘สงครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส’ สร้างความสูญเสียทุกมิติ ทั้งชีวิตและวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนตะวันออกกลาง ขณะที่ในแง่ของเศรษฐกิจ เมื่อสงครามเกิดขึ้นในพื้นที่ตะวันออกกลาง ทำให้ทั่วโลกต่างเฝ้าติดตามภาคพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตและส่งออกมากที่สุดในโลก
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า ข้อมูลจากศูนย์พลังงานอาเซียน ระบุว่า แม้ประเทศในอาเซียนต่างผลักดันนโยบายการผลิตและใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน แต่ปัจจุบันเชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นเชื้อเพลิงที่จำเป็น และยังครองสัดส่วนพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ด้วยสัดส่วนที่มากถึง 83% หากเทียบกับสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนที่มีกำลังการผลิตเพียง 14.2% เท่านั้น โดยความต้องการพลังงานภูมิภาคอาเซียนเองก็เพิ่มขึ้นทุกปีเฉลี่ย 3%
ดังนั้น การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและหากนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตจากตะวันออกกลางที่มากเกินไป อาจกำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านพลังงานอาเซียน และท้ายที่สุดก็จะส่งผลต่อค่าครองชีพประชาชนหรือไม่ เนื่องจากไม่อาจคาดเดาความผันผวนของราคาพลังงานที่เกิดขึ้นจากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมตลาดได้
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแต่ละประเทศต่างเผชิญวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยิ่งสะท้อนชัดเจนว่าวิกฤตดังกล่าวทำให้ราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ และราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบกว่าทศวรรษ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- จับตาตลาด LNG อาเซียน! เมื่อเวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย ต่างหันมาพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ…
- รัฐบาลเวียดนาม เตรียมให้สิทธิพิเศษซัพพลายเออร์บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเข้าถึงไฟฟ้าก่อน…
- รู้จัก ‘อิสราเอล’ ประเทศที่มีประชากรเพียง 9 ล้านคน แต่เต็มไปด้วยคนเก่งสตาร์ทอัพ…
เช่นเดียวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่กำลังปะทุในขณะนี้ ก็ยังทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึง 6% ซึ่งสถานการณ์ยังคงตึงเครียด ภายหลังมีการโจมตีทางอากาศ ทางทะเล และทางบก
อาเซียน ขึ้นแท่นตลาดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก
น่าสนใจว่าเมื่ออาเซียนกำลังเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก หากพึ่งพาเชื้อเพลิงตะวันออกกลางมากเกินไปอาจไม่เป็นผลดีมากนัก และปัจจัยส่วนหนึ่ง อาเซียนเองก็มีความสามารถทางการเงินแตกต่างจากยุโรป ที่ไม่สามารถเสนอราคาก๊าซให้สูงมากไปกว่านี้ได้
“เมื่อเศรษฐกิจโต ความต้องการพลังงานก็เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านพลังงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจกำลังกดดันให้ภูมิภาคนี้ต้องหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจังเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน”
นอกจากนี้ ศูนย์พลังงานอาเซียนประเมินอีกว่า หากประเทศในภูมิภาคอาเซียนไม่แสวงหาแหล่งพลังงานที่มีอยู่ หรือเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตเป็นของตัวเอง ภูมิภาคนี้จะกลายเป็นตลาดผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติ (LNG) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในระยะเวลา 2 ปี หรือปี 2568 รวมถึงมีการใช้ถ่านหินมากสุดในปี 2582
ซึ่งคาดการณ์ว่าราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลจะยิ่งแข่งขันสูงขึ้น ท้ายที่สุดจะยิ่งสะท้อนไปถึงค่าครองชีพของผู้บริโภคยิ่งสูงและตึงเครียดมากขึ้นไปอีกด้วย
ส่องนโยบายพลังงานหมุนเวียนเพื่อนบ้าน
สำหรับเวียดนาม เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลประกาศแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าฉบับที่ 8 (PDP8) โดยมุ่งไปที่การเพิ่มพลังงานลม แสงอาทิตย์ และก๊าซธรรมชาติ โดยต้องมีสัดส่วนการใช้อย่างน้อย 31% ของความต้องการพลังงานของประเทศภายในปี 2573 ในขณะเดียวกันก็ลดการพึ่งพาถ่านหินลงด้วย
สิงคโปร์
หลังจากเปิดแผนพิมพ์เขียวปี 2566 รัฐบาลมุ่งผลักดันพลังงานหมุนเวียนเช่นเดียวกัน โดยตั้งเป้าเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้ได้อย่างน้อย 2 กิกะวัตต์ภายในปี 2573 ซึ่งจะตอบสนองความต้องการไฟฟ้าประมาณ 3% ของความต้องการไฟฟ้า จากปัจจุบันมากกว่า 95% ของไฟฟ้าในสิงคโปร์ เป็นการผลิตจากก๊าซธรรมชาติ
“แม้สิงคโปร์มีข้อจำกัดเรื่องที่ตั้ง ภูมิศาสตร์ แต่รัฐบาลก็ผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนในทุกๆ มาตรการ เช่น ติดโซลาร์รูฟ รวมถึงนำเข้าไฟฟ้าและไฮโดรเจนจากเพื่อนบ้านเพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล”
นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆ นี้สิงคโปร์นำเข้าพลังงานหมุนเวียนจาก สปป.ลาว 100 เมกะวัตต์ ผ่านประเทศไทยและมาเลเซีย ถือเป็นการนำเข้าพลังงานหมุนเวียนครั้งแรกของสิงคโปร์ รวมไปถึงซื้อขายไฟฟ้าข้ามพรมแดนแบบพหุภาคีครั้งแรกกับสมาชิกชาติอาเซียน
ฟิลิปปินส์
ปีที่ผ่านมาฟิลิปปินส์ยกเลิกข้อกำหนดผู้ถือครองในแหล่งพลังงานหมุนเวียนบางประเภท โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ลม พลังน้ำ หรือพลังงานในมหาสมุทรได้อย่างเต็มที่
เนื่องจากฟิลิปปินส์มองว่า การที่ต่างชาติเป็นเจ้าของจะสามารถอำนวยความสะดวกต่อการผลิตพลังงานลมที่มีศักยภาพในการติดตั้งนอกชายฝั่งได้ 21 กิกะวัตต์ภายในปี 2583 เพราะที่ผ่านมาฟิลิปปินส์พึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก ทำให้เกิดความเสี่ยงจากข้อจำกัดด้านอุปทานและราคาที่สูงขึ้นและไม่สามารถควบคุมได้
อินโดนีเซีย
อินโดนีเซียเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดการเป็นเจ้าของของต่างชาติเพื่อสร้างแรงผลักดันในการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนเช่นกัน ซึ่งอนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของโครงการสายส่งไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าและผลิตไฟฟ้า (ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 1 เมกะวัตต์) ได้ 100%
ในส่วนนี้อินโดนีเซียมองว่าหากมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีโครงการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นในภูมิภาค และสามารถลดความเสี่ยงความมั่นคงภาคพลังงานในประเทศอีกทางด้วย
สำหรับประเทศไทย ตามที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อรัฐสภาล่าสุดนั้น นอกจากนโยบายเร่งด่วนลดภาระค่าใช้ค่าไฟฟ้าและน้ำมัน รัฐบาลจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ โดยส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียงและสำรวจแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ภายใต้กลไกตลาดต่อไปด้วย
อ้างอิง: