สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีลักษณะเป็น ‘เกมที่อันตราย’ ที่แต่ละฝ่ายพยายามหาทางตอบโต้และสร้างความได้เปรียบ แต่ยังคงพยายามหลีกเลี่ยงสงครามเต็มรูปแบบขนาดใหญ่ที่จะทำลายล้างภูมิภาค ซึ่งสาเหตุที่เรามองว่า สงครามไม่น่าจะจบเร็ว เป็นเพราะ
หนึ่ง การโจมตีที่รุนแรงและมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ การที่อิสราเอลโจมตีเป้าหมายสำคัญของอิหร่าน ทั้งโรงงานนิวเคลียร์และสังหารผู้นำระดับสูงของกองทัพ ถือเป็นการยกระดับที่สำคัญและเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของอิหร่านอย่างมาก อิหร่านย่อมต้องตอบโต้เพื่อรักษาหน้าและแสดงความสามารถในการป้องกันตนเอง การตอบโต้ของอิหร่านครั้งแรกด้วยโดรนกว่า 100 ลำที่ถูกสกัดกั้นได้ทั้งหมด แม้จะดูไม่รุนแรงนัก แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณ และอาจมีมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงกว่าตามมา
สอง ความมุ่งมั่นของอิสราเอล นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอิสราเอลจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ และเชื่อว่าอิหร่านกำลังเร่งโครงการนี้ การโจมตีครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นนั้น หากอิหร่านยังคงเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ อิสราเอลย่อมจะดำเนินการซ้ำ
สาม ความซับซ้อนของโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน โดยในปัจจุบัน โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นซับซ้อนกว่าที่อิสราเอลเคยโจมตีในอิรักและซีเรียมาก มีการกระจายตัวและบางส่วนถูกฝังอยู่ใต้ภูเขา แม้จะถูกโจมตี แต่การที่โรงงานถูกฝังอยู่ลึก โดยโรงงานนิวเคลียร์บางแห่งของอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ Fordow (ฟอร์โดว์) และแหล่งขุดค้นใหม่ใกล้ Natanz (นาทานซ์) ถูกสร้างขึ้นใต้ภูเขา หรือลึกลงไปใต้ดินหลายสิบถึงร้อยเมตร ซึ่งโครงสร้างธรณีวิทยาในพื้นที่เหล่านั้น (เช่น ชั้นหินที่แข็งแกร่ง) ทำให้ยากต่อการโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดธรรมดา ทำให้การทำลายโดยสิ้นเชิงเป็นเรื่องยาก หากอิหร่านสามารถฟื้นฟูโครงการได้ ก็อาจกลับมาคุกคามอีกครั้ง ทำให้เกิดวงจรการโจมตีซ้ำ
สี่ ความจำเป็นในการตอบโต้ของอิหร่าน โดยผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ประกาศ ‘การลงโทษอย่างรุนแรง’ การที่อิหร่านไม่ตอบโต้หรือตอบโต้เบาเกินไป จะทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของระบอบอิหร่านในสายตาประชาชนและกลุ่มพันธมิตรในภูมิภาคเสียหายอย่างหนัก แม้ศักยภาพในการตอบโต้ของกลุ่มตัวแทนอย่างฮิซบอลเลาะห์และฮามาสจะลดลง แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ
ห้า บทบาทของสหรัฐอเมริกา แม้สหรัฐฯ จะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตี แต่ท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ส่งสัญญาณสนับสนุนอิสราเอลและเตือนอิหร่านให้ ‘ทำข้อตกลง’ บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ อาจมีบทบาททั้งในการสนับสนุนการกระทำของอิสราเอลและในการพยายามกดดันอิหร่านให้เจรจา สิ่งนี้สร้างความซับซ้อนและอาจทำให้อิหร่านลังเลที่จะตอบโต้สหรัฐฯ โดยตรง แต่ก็อาจนำไปสู่การตอบโต้พันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคแทน
หก ทางเลือกที่จำกัดของอิหร่าน โดยอิหร่านมีทางเลือกในการตอบโต้ที่จำกัด หากตอบโต้รุนแรงเกินไป อาจดึงสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามเต็มตัว ซึ่งอิหร่านคงไม่ต้องการ แต่หากตอบโต้เบาเกินไป ก็จะไม่สามารถยับยั้งอิสราเอลได้ ความขัดแย้งจึงอาจอยู่ในรูปแบบของการตอบโต้ที่พอดีๆ เพื่อสร้างความเจ็บปวดแต่ไม่นำไปสู่หายนะเต็มรูปแบบ
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เรามองว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะยังคงอยู่และอาจรุนแรงขึ้น หากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น จาก
หนึ่ง ราคาน้ำมันที่ผันผวนและสูงขึ้น โดยโอกาสที่อิหร่านจะปิดช่องแคบเฮอร์มุซยังต่ำ แต่มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยอิหร่านอาจโจมตีเป้าหมายในอ่าว หรือโจมตีช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก (21% ของอุปทานน้ำมันโลก) แม้การปิดช่องแคบเฮอร์มุซจะมีความเสี่ยงสูงมากสำหรับอิหร่านเอง เพราะจะดึงสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรงและรุนแรงขึ้น แต่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ความเสี่ยงนี้สูงขึ้นตามไปด้วย และตลาดได้สะท้อนความกังวลนี้แล้วด้วยการที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 13% หลังการโจมตีครั้งแรก ซึ่งราคาน้ำมันจะแพงขึ้น คือสิ่งที่คาดการณ์ได้แน่นอน หากความขัดแย้งยังคงอยู่หรือบานปลาย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตทั่วโลกสูงขึ้นและเป็นปัจจัยผลักดันให้ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น
สอง ความเสี่ยง Stagflation เพิ่มขึ้น เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตแพงขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่เงินเฟ้อกลับสูงขึ้น นี่คือภาวะ Stagflation ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยยากขึ้น โดยหากเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนพลังงานยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Cost-push inflation) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะเงินเฟ้อสูงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ดังนั้น โอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ยจึงลดลง และอาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไป หรือแม้แต่อาจพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยหากสถานการณ์เลวร้ายลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงินทั่วโลก
สาม ตลาดการเงินผันผวนต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นและตลาดทุนทั่วโลกจะยังคงอยู่ในภาวะผันผวน นักลงทุนจะยังคงมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Assets) เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะเห็นราคาพุ่งสูงขึ้น และ
สี่ ห่วงโซ่อุปทานโลกได้รับผลกระทบ โดยความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะสร้างความไม่แน่นอนใหม่ให้กับห่วงโซ่อุปทาน การขนส่งสินค้าอาจต้องเปลี่ยนเส้นทาง ทำให้เกิดความล่าช้าและต้นทุนที่สูงขึ้น
ในส่วนของการลงทุน เรามองว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อจะทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกผันผวนสูงขึ้น โดยกลยุทธ์ลงทุนที่น่าสนใจจะแบ่งเป็น
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรหากสถานการณ์ยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น แนะนำหุ้นพลังงานและโรงกลั่นซึ่งได้ประโยชน์จากทางตรงหรือทางอ้อมจากราคาพลังงานที่ปรับขึ้น ได้แก่ PTTEP BCP PTT
- นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำและต้องการป้องกันความเสี่ยงจากสงครามในตะวันออกกลาง แนะนำ หุ้น Defensive ซึ่งมีรายได้มั่นคงไม่ผันผวนไปตามเศรษฐกิจ หรือได้รับผลกระทบจำกัด ได้แก่ ADVANC BCH DIF GULF CPALL
กล่าวโดยสรุป สถานการณ์อิสราเอล-อิหร่านครั้งนี้คือ เกมที่อิสราเอลเดิมพันสูงในการยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งอาจสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้คือการทำให้โลกปลอดภัยขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงมหาศาลที่จะนำไปสู่ ซึ่งสถานการณ์ที่รุนแรงและยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในรูปของ ภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะ Fed มีข้อจำกัดในการดำเนินนโยบาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation ให้กับเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ เราอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับยุคที่ ‘ความยุ่งเหยิง’ กลายเป็น ‘ระเบียบ’ ใหม่ของโลกอย่างแท้จริง
ภาพ: ivanmollov / Getty Images
รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก https://linktr.ee/InnovestX