ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่คาดเดากันได้เป็นเวลาหลายปีแล้วว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนข่าวการตัดสินใจของ คีเลียน เอ็มบัปเป ที่แจ้งต่อปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรต้นสังกัด อีกครั้งว่าเขาจะไปจากทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ก็เป็นเรื่องที่มีการพูดถึงกันมากพอสมควร
การไปของกองหน้าวัย 25 ปี คือการจากไปอย่างอิสระ ไม่มีค่าตัวเพราะหมดสัญญาที่เซ็นไว้กับสโมสรโดยไม่ได้ใช้ออปชันในการขยายเวลาในสัญญาที่มีอีก 1 ปีออกไป
ถึงแม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าเอ็มบัปเปจะย้ายไปที่ไหน และก็เริ่มมีการปั่นกระแสกันถึงหลายทีม ซึ่งรวมถึงอาร์เซนอลที่แม้แต่ มิเกล อาร์เตตา เองก็อดจะหยอดพูดถึงด้วยไม่ได้
แต่ทีมที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดก็คือทีมในฝันทีมเดียวของเขา
‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด
ความรักระหว่างเอ็มบัปเปกับทีม Los Blancos ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องห้าม เป็นเรื่องที่รู้กันมานานหลายปีดีดัก เพราะฮีโร่ในดวงใจของกองหน้าที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งและเปี่ยมด้วยพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย และถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นราชาลูกหนังโลกคนใหม่คือ คริสเตียโน โรนัลโด
เขาอยากมีโอกาสใส่ชุดขาวล้วนของเรอัล มาดริด เหมือนฮีโร่ของเขา
หากเป็นนักเตะปกติคนอื่นๆ การเดินทางจากสโมสรแห่งหนึ่งเพื่อไปสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่างเรอัล มาดริด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติ ทุกคนเข้าใจได้ เพราะไม่ว่าจะถูกมองว่าตกต่ำลงจากอดีตอย่างไร แต่สนามซานติอาโกเบอร์นาบิวยังมีเสน่ห์และมนตร์ขลังเสมอ มีแรงดึงดูดบางอย่างที่มีความพิเศษจากเรื่องราวและตำนานตั้งแต่ยุค ‘ราชันชุดขาว’ ที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 สมัยรวดเมื่อร่วม 70 ปีที่แล้ว
ปัญหาสำหรับเอ็มบัปเปคือ การที่เขามี ‘มูลค่า’ ไม่ได้น้อยไปกว่า ‘คุณค่า’ และต้นสังกัดอย่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งลงทุนไปอย่างมากมายมหาศาลตั้งแต่ในวันที่กระชากตัวมาจากโมนาโกเมื่อปี 2017 พร้อมกับ เนย์มาร์ ไม่ต้องการสูญเสียซูเปอร์สตาร์ไปโดยไม่ได้อะไรกลับมา
มากไปกว่านั้นคือ การจากไปของซูเปอร์สตาร์รายนี้อาจส่งผลร้ายต่อสโมสรในทางอื่นตามมาด้วย โดยเฉพาะหากยอมให้ย้ายออกจากทีมแบบฟรีๆ โดยไม่ได้อะไรกลับมา ทั้งๆ ที่นี่คือนักเตะที่ควรจะทำลายสถิติโลกของเนย์มาร์
นั่นจึงทำให้พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะขัดขวางการย้ายทีมของเอ็มบัปเปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เปแอสเชทำทุกอย่างเพื่อให้เอ็มบัปเปยอมต่อสัญญา
ครั้งแรกที่เอ็มบัปเปต้องการจะย้ายทีมเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เปแอสเช – ซึ่งมีเบื้องหลังคือประเทศกาตาร์ – ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในการขอให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ช่วยกล่อมให้กองหน้ารายนี้เปลี่ยนใจต่อสัญญากับสโมสรออกไปก่อน
การกล่อมครั้งนั้นสำเร็จ เอ็มบัปเปยอมต่อสัญญาออกไปอีก 2 ปี แม้ว่าจะออกข่าวว่าต่อสัญญา 3 ปี (บนเสื้อมีเลข 2025) แต่สัญญาปีสุดท้ายมีการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่าเป็นแค่ออปชัน ที่หากมีการใช้เงื่อนไขก็จะทำให้เขาได้รับเงินโบนัสจากสโมสรเป็นเงินก้อนมหาศาลด้วย
แต่สำหรับเอ็มบัปเป การต่อสัญญาครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่คล้ายจะผิดพลาด
เปแอสเช ซึ่งอุตส่าห์ไปคว้า ลิโอเนล เมสซี ที่หมดสัญญาและจำใจจากบาร์เซโลนามาร่วมเล่นกับเขาและเนย์มาร์ แต่สุดท้ายก็ไปได้ไม่ถึงฝัน ขณะที่ความสัมพันธ์กับซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิลเลียนที่เคยหวานชื่นเหมือนพี่น้องก็กลายเป็นคู่แข่ง เกิดเป็นสงครามการเมืองภายในทีม
แม้ว่าหลายอย่างจะค่อยๆ คลี่คลายในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครได้อะไรอย่างที่ต้องการเลย
เมสซีหมดสัญญาและไปจากปารีส เนย์มาร์ยอมเก็บของเพื่อย้ายไปซาอุดีอาระเบียแลกกับเงินมหาศาล ทิ้งไว้แค่เอ็มบัปเปที่ไม่สามารถจะไปไหนได้
เมื่อเจ้าตัวตัดสินใจที่จะไม่ยอมให้ใช้เงื่อนไขในการขยายสัญญา โดยแจ้งเรื่องกับสื่อมวลชนก่อนจะแจ้งสโมสร ทำให้เกิดสงครามเย็นที่รุนแรงภายในทีม ประธานสโมสรนาสเซอร์ อัล เคไลฟี เดือดดาลถึงขีดสุด และสั่งดรอปเขาออกจากทีม
ระหว่างนั้นมีทีมเดียวที่ยื่นข้อเสนอให้คือ อัล ฮิลาล ที่ยอมจ่ายไม่อั้นทุกอย่างไม่ว่าจะค่าตัวในการย้ายทีมหรือค่าเหนื่อย เพื่อแลกกับการได้เอ็มบัปเปมาจุดกระแสในระยะเวลาสั้นๆ โดยยินดีที่จะปล่อยให้ย้ายไปเรอัล มาดริด ในเวลาต่อมา แต่สุดท้ายไม่มีการย้ายทีมดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ทั้งสองปรับความเข้าใจกันในเวลาต่อมา เพราะรู้ว่าขืนทำแบบนี้ต่อไปจะไม่มีใครได้อะไรเลย มีแต่พังไปทุกฝ่าย สุดท้ายเอ็มบัปเปก็ยอมรับข้อตกลงที่จะไม่รับเงินโบนัส 80 ล้านยูโรจากเปแอสเชหากจะย้ายออกจากทีมโดยไม่มีค่าตัวหลังจบฤดูกาลนี้
เอ็มบัปเปกลับมาเล่นให้ทีมได้อีกครั้งและทำผลงานได้ดีด้วย โดยยิงไปถึง 31 ประตูจากการลงสนาม 30 นัด
ในระหว่างนั้นเปแอสเชเองก็ค่อยๆ ปรับตัว สโมสรเปลี่ยนแนวทางใหม่ เลิกซื้อซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพง แต่หันมาเลือกนักเตะอนาคตไกลที่มีแววจะไปต่อได้แทน แต่ที่ปรับเยอะที่สุดคือ พวกเขา ‘ทำใจยอมรับ’ การสูญเสียเอ็มบัปเปที่เป็นเพชรยอดมงกุฎของสโมสรได้แล้ว
เช่นเดียวกับที่ทำให้ข่าวการตัดสินใจที่จะย้ายทีมโดยอิสระของเอ็มบัปเปไม่ได้ทำให้เกิดกระแสความขัดแย้งที่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา เพราะผู้บริหารของเปแอสเช ‘มูฟออน’ ไปเป็นที่เรียบร้อย อย่างน้อยสโมสรก็ไม่ต้องเสียเงินโบนัสจำนวนมหาศาลที่สามารถเอาไปใช้ทำอะไรได้อีกมาก (โดยเฉพาะในทางบัญชีของสโมสรที่เป็นจุดอ่อนไหว)
สำหรับเรอัล มาดริด หากพวกเขาได้เอ็มบัปเปมาครอบครอง นี่คือจุดสูงสุดของ ‘กาลาคติกอส’ ยุคใหม่ของ ฟลอเรนติโน เปเรซ ซึ่งคว้าสุดยอดนักเตะอนาคตไกลเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น วินิซิอุส จูเนียร์, โรดริโก, เอดูอาร์โด คามาแวงกา ไปจนถึง จูด เบลลิงแฮม
เรอัล มาดริด จะกลับไปสู่จุดที่เคยยิ่งใหญ่ในทางสถานะเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนอีกครั้ง
แชมป์ฟุตบอลโลกก็ได้มาครอบครองแล้ว
ส่วนเอ็มบัปเป นี่คือโอกาสสำคัญในชีวิตที่เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองในทีมที่อยู่ในสถานะที่สูงกว่าทั้งชาติตระกูลและเกียรติประวัติ นี่คือย่างก้าวสำคัญที่ทั้งเขาและเราทุกคนจะได้รู้ว่า เอ็มบัปเปจะสามารถเป็นสุดยอดนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกหรือเก่งที่สุดคนหนึ่งตลอดกาลได้หรือไม่
อย่าลืมว่าแม้จะอยู่กับลีกที่เป็นรองอย่างลีกเอิง แต่ผลงาน 243 ประตูจากการลงสนาม 290 นัดของเขาไม่ใช่ธรรมดา ไหนจะการลงสนามให้กับทีมชาติแล้วถึง 75 นัด ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะครบ 25 ปีไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
เอ็มบัปเปเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2018 ซึ่งแม้จะพลาดการได้แชมป์ครั้งที่ 2 อย่างเจ็บปวด ทั้งๆ ที่ทำ ‘แฮตทริก’ ในนัดชิงฟุตบอลโลกใส่อาร์เจนตินาได้ แต่ด้วยวัยของเขา นี่คือนักเตะที่มีโอกาสจะทาบตำนานของเปเล่ที่ไม่เคยมีใครทาบอย่างการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 3 สมัย
นี่คือการเดิมพันด้วยความฝันของนักเตะคนหนึ่งที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องทัศนคติมาโดยตลอด
หากคำกล่าวที่ว่า ‘ความฝันไม่มีวันหมดอายุ’ เป็นเรื่องจริง
เด็กหนุ่มที่เคยพบกับ ซีเนดีน ซีดาน เมื่อตอนอายุ 14 ปี และมีโปสเตอร์ของโรนัลโดอยู่ในห้องนอนที่บ้านเก่าในปารีส ก็พร้อมที่จะเดินหน้าไปตามล่ามันแล้ว
ที่เหลือก็อยู่ที่เรอัล มาดริด พวกเขาจะผิดหรือพลาดอีกไม่ได้ และแน่นอนว่าซินญอร์เปเรซก็ไม่ยอมทิ้งความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
อ้างอิง: