×

Ironboy ชีวิตที่โดน bully โดดเดี่ยว ถูกแบน แต่พิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นแชมป์ The Rapper

26.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • Ironboy เลือกก้าวเท้าเข้าสู่วงการแรปเปอร์ตั้งแต่อายุ 11 ปี ท่ามกลางเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาทำอยู่แม้แต่คนเดียว
  • กว่าจะมาเป็นแชมป์รายการ The Rapper เขาต้องใช้ชีวิตเป็นแรปเปอร์ผู้โดดเดี่ยวอยู่หลายปี ถูก bully จากเพื่อนร่วมรุ่น พ่อแม่บางคนไม่ยอมให้เพื่อนมาเล่นด้วย และเคยโดนแบนจากวงการฮิปฮอป คิดมากจนเป็นโรคซึมเศร้าและเกือบสละสิทธิ์การแข่งขันในรายการ The Rapper ไปแล้ว
  • ถึงแม้จะถูกตั้งคำถามมากแค่ไหน แต่ Ironboy ไม่เคยคิดหันหลังให้กับการแรป
  • Ironboy ไม่เชื่อว่าตัวเองมีพรสวรรค์ ความสามารถในแรปรัวทั้งหมดที่เห็นในรายการ เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อมซ้ำไปซ้ำมาอย่างหนักตั้งแต่อายุ 14 ปี  
  • Ironboy มีความเชื่อว่า เกิดมามีโอกาสเป็นวัยรุ่นได้เพียงหนึ่งครั้ง แต่ต้องใช้ชีวิตวัยรุ่นให้ ‘เฟี้ยว’ ที่สุด

 

 

ถ้ามองเผินๆ จากการแรปรัวไม่มีหยุด มุกตลก ท่าเต้นกวนๆ และภาพลักษณ์สบายๆ ที่ เอนัน-ศิริศักดิ์ เลขวัฒนะโรจน์ หรือ Ironboy นำเสนอออกมาในทุกๆ รอบ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์รายการ The Rapper คนแรกของประเทศไทย ภาพที่เราพอจะคิดออกคงหนีไม่พ้น เด็กวัยรุ่นอายุ 19 ที่เติบโตมาพร้อมกับพรสวรรค์ มั่นใจในความสามารถ ไม่ยี่หระกับสิ่งต่างๆ รอบตัว

 

แต่ถ้าได้รู้จักตัวตนของเขาจริงๆ เอนันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างชื่อ Ironboy ที่เขาเลือกมาใช้เพื่อปกปิดความอ่อนไหวในตัว แถมยังเป็นเด็กหนุ่มผู้แสนโดดเดี่ยว ที่เลือกก้าวเท้าเข้าสู่วงการแรปเปอร์ตั้งแต่อายุ 11 ปี ท่ามกลางเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาทำอยู่แม้แต่คนเดียว

 

เขาถูก bully มาตั้งแต่เด็ก เคยถูกโดนแบนจากวงการฮิปฮอป เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และเกือบจะสละสิทธิ์การแข่งขันรายการ The Rapper ไปแล้ว โชคดีที่เขาตัดสินใจคว้าโอกาสนี้ไว้และกลับมาพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็นในที่สุด

 

THE STANDARD มีนัดคุยกับ Ironboy ในเช้าวันต่อมาหลังจากที่เขาเพิ่งขึ้นไปชูถ้วยแชมป์ The Rapper มาหมาดๆ หน้าตาของเขายังมีความอ่อนล้าปรากฏให้เห็น แต่ในหัวใจของแรปเปอร์ช่างฝัน พร้อมแล้วที่จะเดินทางสู่เป้าหมายต่อไป ด้วยการเป็นวัยรุ่นที่ ‘เฟี้ยว’ กว่าทุกคนให้ได้

 

ชีวิตวัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนจะมาเป็นแชมป์ The Rapper ที่ชื่อว่า Ironboy อย่างทุกวันนี้

ต้องย้อนไปก่อนว่าผมเป็นคนแปลกแยกจากสังคม คือผมพยายามเข้าหาเพื่อนนะ เช่น ไปเตะฟุตบอล แต่โดนบอลอัดหน้าผมก็เล่นต่อไม่ได้ พอมา ม.ต้น อายุ 12-13 ก็เปลี่ยนมาเล่นบาสเกตบอล พยายามไปลองเพราะอยากโชว์สาว แต่สกิลการเล่นกีฬาผมไม่ได้จริงๆ เวลาเห็นผู้หญิงไปนั่งดูคนเล่นบาส ผมเข้าไปเล่นไม่ได้ก็มานั่งเขียนเพลงอยู่ข้างสนามแทน หรือเวลาเขาคุยเรื่องบาสเรื่องบอลกัน ผมแค่รู้ว่าเขาแข่งกันอย่างไร แต่ไม่ได้รู้ว่าใครอยู่ทีมไหน แถมผมเป็นผู้ชายไม่เล่นเกมอีก ซึ่งเด็กๆ ก็จะมีอยู่ประมาณนี้ เลยทำให้ผมค่อนข้างแปลกแยก ไม่มีสังคมกลุ่มเพื่อนตรงนี้เท่าไร  

 

รู้ไหมว่าปีนี้ทีมไหนได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลก

ไม่รู้ครับ (หัวเราะ)

 

 

รู้สึกอย่างไรบ้างเวลาเห็นเพื่อนๆ มีสาวมากรี๊ดข้างสนามบาส แต่เราต้องนั่งเขียนเพลงเงียบๆ อยู่คนเดียว

มันก็เหงานะครับ คนอื่นเขาอาจจะจีบสาวด้วยการเล่นบาส เพราะเล่นแล้วเท่ แต่ผมเชื่อว่าจะเขียนเพลงไปจีบสาว เชื่อว่าวันหนึ่งจะทำได้ ช่วงอายุ 13-14 ปีเป็นช่วงที่ผมเขียนเอาไว้เยอะมาก แต่ละเพลงอาจจะฟังไม่ได้ แต่มันคือการฝึกฝนที่ดี เหมือนเป็นสมุดการบ้านที่ผมได้ฝึกทำทุกวัน  

 

ยังรู้สึกอยู่เลยว่าตอนนั้นพัฒนาการของผมก้าวกระโดดกว่าตอนนี้มาก ตอนนี้ต้องรอมีอารมณ์ก่อนแล้วค่อยเขียน แต่ตอนนั้นแค่คิดว่าอยากเขียนอะไรก็เขียน พักกลางวันก็เข้าห้องสมุดไปนั่งเขียนเพลง ภาษาอังกฤษยังไม่ได้ เราก็พยายามเขียนในแบบที่เราเข้าใจ ไม่ได้สนใจว่ามันจะต้องดีหรือดัง แค่อยากร้องเพลง อยากมีเพลงของตัวเองเท่ๆ แค่นั้นเลย

 

นอกจากเรื่องบาสเกตบอล ฟุตบอล เกมที่คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่กับเรื่องเพลงคุณยังพอมีกลุ่มเพื่อนที่แลกเปลี่ยนเรื่องนี้กันได้ไหม

มีประมาณหนึ่งคนครับ (หัวเราะ) แต่จะเป็นอารมณ์ฟังอย่างเดียว ผมบอกว่ามีไอดอลเป็นพี่โต้ง Twopee เขาก็บอกว่า เออเท่ดีนะ ชอบฟังเพลง แต่งตัวเป็นวง Thaitanium แต่ไม่จริงจังถึงขั้นมาเขียนเพลง เรียกว่าผมเป็นเด็กคนเดียวที่แรปในโรงเรียนตอนนั้นเลยก็ว่าได้

 

เขียนเพลงเสร็จแล้วให้ใครฟังบ้าง

ฟังเองแล้วก็สาวที่ชอบ (หัวเราะ)

 

เคยจีบสาวสำเร็จเพราะเพลงที่เราแต่งขึ้นมาบ้างไหม

ไม่สำเร็จเลยครับ บางคนก็จะพิมพ์มาว่า อืม เพราะดีนะ แต่บางคนหายไปเลยก็มี (หัวเราะ) ผมเขียนไปเยอะมากจริงๆ นะครับ เรียกว่าเป็นท่าไม้ตายเดียวในการจีบผู้หญิงเลย แต่ตามประสาเด็กๆ มันเป็นความรู้สึกที่เพียวมาก มีอารมณ์เพ้อฝันดีนะครับ แอบชอบอยู่นะ รู้สึกอะไรก็เขียนไปเลย เวลาร้องก็ใส่ออโต้จูนหนักๆ ร้องตามอารมณ์ไม่ได้สนว่าจะเพี้ยนหรืออะไรทั้งนั้น (หัวเราะ)

 

เริ่มเขียนเพลงแรปมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือเปล่า

จริงๆ ก็เริ่มมาจากเพลงทั่วไปก่อน แต่แรปก็เริ่มมาพร้อมๆ กัน ตอนนั้นรู้สึกว่าพอฟังเพลงฮิปฮอปแล้วน่าจะใช้จีบสาวได้ตรงกว่า แล้วเสียงผมเริ่มแตกพอดี ร้องเพลงไม่เพราะ เลยคิดว่ามาเอาดีทางแรปดีกว่า ไอดอลผมมีอยู่ 2 โต้ง คือพี่โต้ง Twopee กับ พี่โต้ง Illslick ตอนนั้นเขามีเพลง Thug luv ที่ร้องว่า “เราแม่งโคตรชอบเธอเลยวะ เราแม่งโคตรชอบเธอเลยวะ ไม่รู้จะพูดยังไง แต่เราแม่งโคตรชอบเธอเลยวะ” ฟังแล้วรู้สึกว่าถ้าส่งให้ผู้หญิงแล้วน่าจะชอบ แต่ปรากฏว่าหายหมดเลย (หัวเราะ)

 

 

การเป็นแรปเปอร์เด็กคนเดียวในสมัยนั้นทำให้โดนคนอื่นมองว่าเป็นคนแปลกๆ บ้างหรือเปล่า

ใช่ครับ ตอนนั้นแรปกับฮิปฮอปเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มมาก ตอนนั้นใครใส่หมวก ใส่เสื้อ ใส่กางเกงตัวใหญ่ๆ แค่นั้นก็ถือว่าแปลกมากแล้ว แล้วช่วง 2-3 ปีนั้นก็ทำเพลงอยู่คนเดียวตลอด ไปดูคอนเสิร์ต Thaitanium คนเดียว พยายามไปขอถ่ายรูป ไปยื่นแผ่นเพลงให้ แล้วก็เริ่มมีความฝันขึ้นมาว่าถ้าวันหนึ่งเราได้เป็นส่วนหนึ่งของวง Thaitanium มันจะเท่มาก แต่ก็เหมือนจะมีแค่เราคนเดียวที่คิดแบบนั้น

 

แค่โดนมองว่าแปลก แต่ไม่ถึงขนาดโดน bully ใช่ไหม

bully ครับ ตั้งแต่ช่วง ป.6 ที่แรปคนเดียว จนขึ้น ม.1 อารมณ์เด็กช่างฝัน ก็โดนรุ่นพี่มาล้อ อย่างเอา a.k.a. แรกของผม Anan The Rapper กลางแถวลูกเสือ แล้วทุกคนก็ขำกันหมด ความรู้สึกตอนนั้นเราอยากตอบโต้มาก แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเดี๋ยวโดนกระทืบเปล่าๆ (หัวเราะ) ก็เลยเก็บเอาไว้มาใช้เป็นแรงผลักดันเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่ากูจะต้องเป็นแรปเปอร์ให้ได้ แล้วมันก็เป็นเรื่องตลกดี เพราะวันนี้ผมก็ได้กลายเป็น Anan The Rapper จริงๆ  

 

สำหรับผมเรื่องนี้สำคัญมากเลยนะครับ ไม่ใช่แค่ผม แต่ยังมีเด็กอีกหลายคนที่มีความฝัน แต่โดนสังคมรอบข้างสร้างกำแพงปิดกั้นเขาไว้ แต่เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ ถึงแม้เรารู้ว่าการ bully เป็นสิ่งไม่ดี แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เราทำได้ คือการสร้างเกราะให้ตัวเอง ด้วยการไม่ต้องสน ไม่ต้องแคร์ ถึงแม้ว่ามันจะยากแค่ไหน แต่ก็ต้องทนอยู่ให้ได้ ต้องเชื่อในสิ่งที่คุณรักให้มากที่สุด และเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งคุณจะทำสิ่งที่ฝันเอาไว้ให้สำเร็จ อาจใช้เวลานานหน่อยไม่เป็นไร แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้เหมือนกัน

 

 

ช่วงโดนล้อหนักๆ เคยคิดถึงขนาดว่าจะเลิกแรปแล้วกลับไปใช้ชีวิตในสังคมตามปกติบ้างไหม

เลิกใช้ชื่อนั้นไปเลย แล้วเปลี่ยนเป็น Ironboy แทนไงครับ (หัวเราะ) แต่ไม่เคยคิดเลิกแรป ให้ไปทำอย่างอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไร คนอื่นเขายังมีที่ยึดเหนี่ยว บางคนเล่นเกมเก่ง บางคนเล่นกีฬา วาดรูปเก่ง แต่ผมทำอะไรพวกนั้นไม่ได้เลย ผมแรปได้อย่างเดียว ถ้าผมเลิกแรปผมก็ไม่เหลืออะไรแล้ว  

 

ซึ่งไอ้ที่แรปมาก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเก่งหรือดีอะไรนะครับ คนอื่นคงมองว่าเพลงผมกากแหละ แต่ผมมั่นใจว่ามันเท่ (หัวเราะ) ผมว่าอันนี้เป็นจุดสำคัญนะ คนเราต้องมีความมั่นหน้า ไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ต้องมั่นใจไว้ก่อนว่าเราทำได้

 

ก่อนจะมีความฝันเป็นศิลปิน เป็นแรปเปอร์ เคยมีความฝันอย่างอื่นมาก่อนบ้างไหม

ไม่มีเลยครับ ผมเริ่มร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล ทั้งชีวิตอยากเป็นนักร้องมาตลอด อย่างชื่อเล่นของผม ตอนแรกแม่ตั้งว่าอนัน ก็มาจากอนัน อันวา เพราะอยากให้เป็นนักร้อง แต่ผมรู้สึกว่ามันโหลไปหน่อย เลยเปลี่ยนเป็นเอนัน ตอนเริ่มตั้ง a.k.a. Anan The Rapper แล้วผมเริ่มเรียนร้องเพลง เรียนเต้นตั้งแต่ 7 ขวบ แล้วโชคดีมากที่แม่ผมสนับสนุนทุกอย่าง เขาไม่เคยถามเรื่องความฝันของเรา นอกจากถามว่า เอาจริงใช่ไหมลูก ถ้าเอาจริงงั้นเดี๋ยวแม่ส่งไปให้

 

ต่อให้ครอบครัวสนับสนุน แต่น่าจะต้องมีเสียงจากคนรอบข้าง ที่ไม่เห็นด้วยเวลาตอบว่า โตขึ้นเราอยากเป็นแรปเปอร์

มีอยู่แล้วครับ อย่างเพื่อนก็จะบอกว่ามึงมาทำอะไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ทำไม หรือพ่อแม่บางคนก็ไม่ให้มาเล่นกับผม วันแรกยังเล่นกันดีๆ อยู่เลย วันต่อมาเขาบอกว่า เฮ้ย พ่อเราไม่ให้มาเล่นกับนายแล้ว มันเป็นมุมที่เศร้าสำหรับเด็ก ป.6 เหมือนกันนะครับที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก

 

 

ลึกๆ ในใจคุณเข้มแข็งเหมือน a.k.a. Ironboy ที่ใช้แบบนั้นเลยไหม

ผมเป็นคนอ่อนไหวเลยนะครับ อาจจะเรียกว่าอ่อนแอเลยแหละ ชอบคิดมากกับอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าพูดกันจริงๆ ที่บอกว่าพยายามไม่คิดอะไรมาก แต่ผมไม่โอเคเลยนะ พูดง่ายๆ คือผมเกลียดโรงเรียนตอนนั้นมาก คือไม่ได้เกลียดการศึกษานะครับ แต่เกลียดสิ่งที่ผมต้องเจอในโรงเรียนอย่างที่บอกไป  

 

แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผลักดันให้ผมพิสูจน์ตัวเองด้วยตัวคนเดียวต่อมาเรื่อยๆ จนพออายุ 16 เริ่มเปลี่ยนจากการเขียนเพลงแบบไม่สนใจอะไร มาพัฒนาเรื่องการทำเพลงอย่างจริงจัง เริ่มคิดว่าคนฟังเขาจะเข้าใจเพลงของเราไหม เป็นเพลงที่คนอื่นก็พอฟังได้ ไม่ใช่แค่เก็บเอาไว้ฟังคนเดียว

 

ผมเคยคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งว่า ต้องทำยังไงผมถึงจะทำเพลงได้หนึ่งแสนวิว ซึ่งตอนนั้นเพลงของผมมีแค่ประมาณ 100 วิว เขาบอกกลับมาว่า มึงก็ทำเพลงออกมาอีก 100 เพลงดิ แค่นั้นก็ครบหนึ่งแสนวิว แล้วผมก็ยึดหลักการนั้นมาตลอด คือทำเพลงออกมาเยอะมาก ตั้งแต่อายุ 13-14 จนพออายุ 17 เป็นช่วงที่ผมปล่อยเพลงใหม่แทบทุกอาทิตย์เลย

 

จากแรปเปอร์ตัวคนเดียว คุณเริ่มพาตัวเองเข้าไปสู่วงการแรปเปอร์ที่กว้างขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อไร

ตอน Rap Is Now ซีซัน 2 ที่ผมเข้าไปดูพวกเขาแรปแบตเทิลกัน แล้วตื่นเต้นมาก เราไม่เคยเห็นสังคมนี้แบบชัดๆ มาก่อน เจอกลุ่มที่ชอบแรป ชอบฮิปฮอปเหมือนกัน ได้เห็นน้าเก่ง Repaze ที่ตอนนั้นรู้สึกว่าเท่มาก จนมาวันนี้ได้มาสนิทกันจากรายการ The Rapper ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก เขาเป็นคนจุดไฟให้ผมเหมือนกันนะ ที่ทำให้รู้สึกว่าอยากขึ้นไปยืนบนจุดนั้นบ้าง จุดที่มีการแข่งขันและมีคนยอมรับในตัวเรา

 

แต่ผ่านไปแป๊บเดียว พออายุประมาณ 18 ผมมีปัญหาและเริ่มโดนแบนจากกลุ่มฮิปฮอป มีหลายอย่างทำให้เครียดจนผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ต้องกินยารักษา จนคิดว่าจะสละสิทธิ์จากรายการ The Rapper ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าทำอะไรไปคนก็คงไม่ยอมรับในตัวเรา ซึ่งโชคดีมากที่ผมตัดสินใจไปต่อ เพราะไม่อย่างนั้นการสละสิทธิ์จะเป็นการตัดสินใจที่โง่ที่สุดในชีวิตของผมเลย

 

 

อะไรทำให้ตัดสินใจได้ว่าเราจะเลือกเดินทางนี้ต่อ ถึงแม้ว่าจะมีคนไม่ยอมรับในตัวเราแล้วก็ตาม

เพราะมันยังมีคนอื่นอีกเยอะที่ต้องการโอกาสแบบที่เราได้ และมันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่จะมายืนอยู่ตรงนี้ พอจะตัดสินใจไปต่อ ก็เลือกเพลง น้ำลาย ขึ้นไปร้อง เพราะต้องการตอบโต้น้ำลายจากกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับและสบประมาทเราไว้ ตอนนั้นยอมรับว่าอารมณ์ผมแรงมาก อยากถ่ายทอดผ่านเพลงนี้ว่า ทำไมต้องฟังคนอื่นว่าเราไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่ไม่ยอมคุยกับเราก่อน

 

เพลง น้ำลาย ที่ Ironboy ใช้ในรอบออดิชันรายการ The Rapper

 

ในรอบแรกคุณขึ้นไปร้องเพลง ‘น้ำลาย’ เพราะความโกรธ ความไม่เข้าใจ แต่หลังจากนั้นแนวเพลงของ Ironboy ก็เปลี่ยนไปอีกแบบเลย

อันนี้พูดแบบไม่ได้เอาใจรายการนะครับ แต่อาการซึมเศร้าของผมค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ รอบที่ผ่านไปจากรายการนี้ พอผ่านเข้ารอบไปเรื่อยๆ เป้าหมายมันเปลี่ยนจากความโกรธเป็นเรากำลังแบกชื่อ The Rapper อยู่ เราจะย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ มันบอกตัวเองโดยอัตโนมัติว่าเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา พอเปลี่ยนโฟกัสไปที่เรื่องอื่น ความทรงจำแย่ๆ มันก็ค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ กลายเป็นอยากทำเพลงที่มันสร้างสรรค์ ให้เหมาะกับชื่อ The Rapper ของเราขึ้นมาแทน

 

จนทุกวันนี้ผมไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแล้วนะ เหลือแค่อาการวิตกกังวลที่ต้องกินยาบรรเทาอาการเป็นบางครั้ง อันนี้เป็นโรคประจำตัวตั้งแต่อาการกลัวที่แคบ กลัวลิฟต์ กลัวเครื่องบิน แล้วพอเข้ารอบลึกขึ้น มันมีความคาดหวังจากคนอื่น มีความกดดันตัวเองว่าต้องทำผลงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดอาการประหม่าจนควบคุมความวิตกกังวลไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังต้องพกยาเอาไว้อยู่ เป็นยาชนิดเดียวกับที่บรรเทาอาการซึมเศร้านั่นแหละ แต่ว่าใช้ในการบรรเทาอาการวิตกกังวลแทน แต่โชคดีมากตอนรอบสุดท้ายผมไม่เป็นนะ

 

ทั้งๆ ที่รอบสุดท้ายควรจะเป็นรอบที่กดดันและควรจะวิตกกังวลมากที่สุดหรือเปล่า

ตอนแรกก็คิดว่าจะต้องกิน แต่ผมคิดว่าผมซ้อมมาอย่างหนัก พยายามคิดบวก บอกตัวเองว่า เฮ้ย มึงต้องทำได้ดิวะ อย่าลน ต่อให้ผิดพลาดยังไงแต่ทุกอย่างจะโอเค

 

ยอมรับว่าเวลาเห็นท่าทางกวนๆ ของคุณบนเวที สามารถแรปรัวได้อย่างสบายๆ ทำให้เราคิดว่าคุณคือแรปเปอร์ที่มาพร้อมกับพรสวรรค์ แต่ฟังจากที่บอก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้คุณน่าจะผ่านการฝึกฝนตัวเองอย่างหนักมากเหมือนกัน

ต้องบอกก่อนเลยครับว่าผมเป็นคนไม่มีพรสวรรค์ อันนี้คือเรื่องจริงเลย ถ้าย้อนให้เห็นภาพเรื่องแรปรัว คือผมเริ่มฝึกครั้งแรกตอนอายุ 14 จากเพลง Rap God ของ Eminem ที่พอฟังจบแล้วผมอยากฝึกแรปเพลงนี้ให้ได้ ทั้งๆ ที่อ่านภาษาอังกฤษยังไม่แตกด้วยนะ ไม่สามารถอ่านและร้องเร็วๆ ได้ ก็เลยไปหาเวอร์ชันสโลว์โมชันมาฝึกร้อง แล้วก็นั่งฝึกบ่นๆๆๆ เหมือนคนบ้าทุกวันอยู่ประมาณ 3 อาทิตย์เต็มๆ กว่าจะสามารถร้องได้ทั้งเพลงด้วยความเร็วปกติ

 

หลังจากนั้นก็เริ่มฝึกแรปรัวมาตลอด แต่ยังไม่ได้คิดว่ามันคือสไตล์ของตัวเองนะ แค่คิดว่าแรปได้แล้วมันเฟี้ยวดีเฉยๆ แล้วน่าจะโชคดีที่เป็นคนชอบทำอะไรซ้ำๆ จำเจได้แบบไม่เบื่อ แล้วการทำซ้ำๆ ทุกครั้งจะทำให้เราได้รายละเอียดในสิ่งที่ทำเพิ่มมากขึ้น พอฝึกมากขึ้นมันเลยซึมซับกลายเป็นสไตล์ที่ถนัดของตัวเองขึ้นมา

 

ลิงก์เพลง Rap God ของ Eminem

 

สำหรับคนวิตกกังวลอย่างคุณ ต้องซ้อมหนักขนาดไหนกว่าจะขึ้นเวที The Rapper ได้ในแต่ละรอบ

การฝึกซ้อมของผมคือ ไปอัดเพลงมาก่อน แล้วเอามานั่งฟังวนไปวนมาทั้งวัน หลับก็เปิดทิ้งไว้ เพราะเชื่อว่าซาวด์มันจะซึมเข้าไปในสมองโดยอัตโนมัติ แล้วก็เอามาฝึกร้องทั้งวันทั้งคืน อย่างรอบสุดท้ายที่ร้องเพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน ผมมีเวลาฝึกซ้อมประมาณ 2 อาทิตย์ ผมก็ฟังแต่เพลงนี้อย่างเดียวเลย ฟังเพลงอื่นน้อยมากแค่เวลารู้สึกอยากผ่อนคลายเท่านั้น

 

เพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน ที่ Ironboy ใช้ประกวดในรอบตัดสินรายการ The Rapper

 

สำหรับเด็กหนุ่มช่างฝัน ที่เอาเพลง ‘รางวัลแด่คนช่างฝัน’ ขึ้นไปร้องในรอบสุดท้าย คิดว่าตอนนี้อะไรคือ ‘รางวัล’ ที่ดีที่สุดที่คุณได้รับมาในตอนนี้

คือการหาเงินเลี้ยงตัวเองและแม่ให้ได้ครับ ถ้าไม่นับเงินรางวัลที่ได้ ผมอยากหาเงินให้ได้ในหลักล้านด้วยตัวเอง ผมรู้ว่ามันยาก แต่ก็มีศิลปินคนอื่นที่เขาทำได้ ผมอยากเป็นคนหนึ่งที่ทำได้เหมือนกัน สำหรับผมการเป็นแชมป์ The Rapper คือการทำความฝันอย่างหนึ่งสำเร็จ แต่มันยังไม่จบแค่นั้น เพราะการเดินทางของผมเพิ่งเริ่มต้น

 

ผมคิดว่าเกิดมาเรามีโอกาสเป็นวัยรุ่นได้แค่ครั้งเดียว ผมอยากใช้ชีวิตช่วงนี้ให้คุ้มที่สุด คุ้มของผมคือสามารถสนุกและหารายได้จากสิ่งที่ผมรักให้ได้ คำว่าสนุกของบางคนอาจถึงไปเที่ยวผับ ติดยา แล้วก็จบกันไป แต่ของผมคือการไปผับเพื่อร้องเพลง เพื่อทำงาน เพื่อหาเงินจากการร้องเพลงที่ผมรัก ถึงตอนนี้รายได้ของผมจะไม่มากเท่าคนอื่น แต่ผมดีใจที่ผมทำได้ อย่างน้อยเราต้องเป็นวัยรุ่นที่เฟี้ยวกว่าคนอื่นให้ได้

 

นิยามคำว่า ‘เฟี้ยว’ ของคุณคืออะไร

ใช้ชีวิตแบบที่เราชอบ โดยที่ไม่ต้องเป็นแบบที่คนอื่นบอกให้เป็น ผมเป็นเด็กอายุ 19 ที่ไม่ต้องเดินตามความฝันคนอื่นว่าอยากเป็นวิศวกร อยากเป็นหมอ หรืออาชีพอื่นๆ ที่มีความมั่นคง แต่เราสามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวจากสิ่งที่ผมรักได้ คนอื่นจะนิยามไว้อย่างไรไม่รู้นะ แต่สำหรับผมทำได้แบบนี้คือเฟี้ยวแล้ว แล้วก็จะพยายามทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

Photo: ณัฐพงษ์ กุลพันธ์ และพนาธร ไชยกุล

FYI
  • เพลงแรกที่ดึงให้ Ironboy เข้าสู่โลกของแรปเปอร์อย่างเป็นการทางคือเพลง มหานคร ของวง Thaitanium และเป็นเพลงแรกที่เขาฝึกแรปได้จนสำเร็จ
  • ถ้านับเป็นตัวเลขกลมๆ ทั้งหมด เพียงแค่ช่วงฝึกเขียนเพลงข้างสนามบาสเกตบอลตอนอายุ 13-14 ปี Ironboy คาดว่าจะเขียนเพลงออกมาแล้วหลายร้อยเพลง
  • สมัยเด็ก Ironboy เคยเรียนเต้นอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 10 ขวบ และเชื่อว่าการเต้นคือสิ่งที่เขาสามารถทำได้ดีกว่าการร้องเพลงด้วยซ้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาหันมาอินกับการแรปมากกว่า แต่ทักษะการเต้นก็ยังอยู่ในตัวเขามาตลอด
  • เพลงที่ Ironboy ชอบที่สุดในการแข่งขัน The Rapper คือรอบที่ต้องร้องเพลง มันต้องถอน ส่วนสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นที่สุดในรายการคือการได้ยืนบนเวทีเดียวกับไอดอลสมัยเด็กอย่าง โต้ง Twopee
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X