รัฐบาลอิหร่านและซาอุดีอาระเบียประกาศผ่านสำนักข่าวทางการของรัฐบาลว่า ทั้งสองประเทศซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาอย่างยาวนาน ตกลงที่จะกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต และเปิดสถานทูตระหว่างกันอีกครั้ง หลังจากเจรจาในกรุงปักกิ่งประสบความสำเร็จ โดยมีจีนเป็นผู้ผลักดัน
“ผลจากการเจรจา อิหร่านและซาอุดีอาระเบียตกลงที่จะกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต และเปิดสถานทูตอีกครั้ง…ภายในสองเดือน” สำนักข่าว IRNA ของอิหร่านรายงานเมื่อวันศุกร์ (10 มีนาคม)
ด้านสำนักข่าว Saudi Press Agency ของซาอุดีอาระเบีย เผยแพร่แถลงการณ์ของรัฐบาลซาอุ ซึ่งประกาศข่าวดังกล่าวเช่นกัน พร้อมทั้งขอบคุณรัฐบาลจีนอย่างมากสำหรับความเป็นผู้นำในการเจรจา
“เพื่อตอบสนองต่อความคิดริเริ่มอันประเสริฐของท่านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อการสนับสนุนของจีนในการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดีระหว่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียและสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน…คณะผู้แทนจากทั้งสองประเทศจึงได้จัดการเจรจาในระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2023 ที่กรุงปักกิ่ง” แถลงการณ์ของ SPA ระบุ
แถลงการณ์ของซาอุยังเน้นย้ำถึงบทบาทความเป็นผู้นำของจีนในการเป็นเจ้าภาพ และสนับสนุนการเจรจาระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ซึ่งริยาดระบุว่า กระบวนการนี้เกิดจากความปรารถนาร่วมกันที่จะแก้ไขความไม่ลงรอยกันผ่านการเจรจาและการทูต
นอกเหนือจากการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เปิดสถานทูต และคณะผู้แทนทางการทูตแล้ว อิหร่านและซาอุดีอาระเบียตกลงที่จะเคารพอำนาจอธิปไตยของรัฐ และไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐ
ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศพบปะหารือกันเพื่อดำเนินการให้การฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ พร้อมทั้งปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคี และยึดถือข้อตกลงที่เคยทำร่วมกันก่อนหน้านี้ ได้แก่ ‘ข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคง’ (Security Cooperation Agreement) ในปี 2001 และ ‘ข้อตกลงทั่วไปเพื่อความร่วมมือ’ (General Agreement for Cooperation) ในปี 1998 ซึ่งครอบคลุมด้านการค้า เศรษฐกิจ กีฬา เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และเยาวชน
“ทั้งสามประเทศแสดงความกระตือรือร้นที่จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ” แถลงการณ์ของซาอุดีอาระเบียระบุ
แถลงการณ์ของซาอุดีอาระเบียยังแสดงความขอบคุณอิรักและโอมาน เพื่อนบ้านของริยาด ซึ่งเคยรับเป็นเจ้าภาพการเจรจาที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 2021-2022 ขณะที่กระทรวงต่างประเทศของโอมานก็ได้ออกมาแสดงความยินดีกับข่าวนี้ผ่านข้อความทาง Twitter เมื่อวานนี้
ที่ผ่านมาอิหร่านและซาอุดีอาระเบียต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าบั่นทอนเสถียรภาพของภูมิภาค เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ร้ายแรง และต่างยืนอยู่คนละฟากของความขัดแย้งในภูมิภาค เช่น เยเมน เลบานอน และซีเรีย
ซาอุดีอาระเบียตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในปี 2016 หลังจากผู้ประท้วงชาวอิหร่านบุกสถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงเตหะราน เพื่อตอบโต้ที่ทางการซาอุดีอาระเบียประหารชีวิตนักโทษ 47 คน ซึ่งรวมถึงผู้นำนิกายชีอะห์
แอนนา จาคอบส์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ Gulf จาก International Crisis Group กล่าวว่า ความก้าวหน้าครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับภูมิภาคนี้อย่างมาก “แสดงให้เห็นว่าการเจรจาระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่านประสบความสำเร็จหลังจากผ่านไปหลายปี และประสบความสำเร็จด้วยการสนับสนุนจากมหาอำนาจระดับภูมิภาคอย่างอิรักและโอมาน รวมถึงมหาอำนาจระดับโลกอย่างจีนด้วย” จาคอบส์กล่าวกับ CNBC
นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่า จีนได้เพิ่มบทบาทของตนในภูมิภาคนี้ในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
“สำหรับจีน นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่” จาคอบส์กล่าว
ภาพ: Chinese Foreign Ministry / Getty Images
อ้างอิง: