เมื่อวานนี้ (20 พฤศจิกายน) ฮัสซัน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ประกาศชัยชนะศัตรูต่างชาติอย่างสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย ที่เขาอ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความไม่สงบทั่วประเทศ หลังจากรัฐบาลประกาศขึ้นราคาน้ำมัน 50% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โรฮานีกล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าชาวอิหร่านแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ศัตรูต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะตั้งคำถามเกี่ยวกับการบริหารของรัฐบาลก็ตาม
ขณะที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่าขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์จลาจล 106 รายใน 21 เมืองทั่วอิหร่าน แต่คาดการณ์ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจจะมีมากกว่า 200 ราย
หลังจากที่รัฐบาลปิดระบบอินเทอร์เน็ตและระบบโทรคมนาคมทั่วประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 พฤศจิกายน) ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ทำให้นักข่าวและสื่อมวลชนไม่สามารถรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองต่างๆ เกือบ 100 เมืองทั่วประเทศได้อย่างเต็มที่ แต่ในสื่อสังคมออนไลน์ยังมีการโพสต์วิดีโอแสดงภาพกองกำลังรักษาความปลอดภัยทำร้ายและยิงผู้ชุมนุมอย่างไร้ความปรานี
เนเดอร์ ฮาชิมี ผู้อำนวยการตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยเดนเวอร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Independent ว่า “ผมคิดว่ามีสองสาเหตุ การปิดระบบอินเทอร์เน็ตแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีบางอย่างซ่อนเร้น และบันทึกการติดตามสิทธิมนุษยชนของอิหร่านก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ค่อยปฏิบัติอย่างมีศีลธรรมเมื่อต้องการปิดปากฝ่ายตรงข้าม”
อย่างไรก็ตาม การประท้วงครั้งนี้อาจเป็นหนึ่งในเหตุความไม่สงบบนท้องถนนที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษของอิหร่าน นับตั้งแต่การปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 1979
ภาพ: Timothy A. Clary / AFP via Getty Images
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: