×

อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซตอบโต้สหรัฐฯ อาจดันราคาน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

23.06.2025
  • LOADING...
อิหร่าน

หลังจากที่สหรัฐฯ ปฏิบัติการระเบิดฐานนิวเคลียร์หลักของอิหร่านเมื่อคืนวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ล่าสุดมีรายงานข่าวว่ารัฐสภาอิหร่านมีมติเห็นชอบอนุมัติการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อตอบโต้การโจมตีของสหรัฐฯ โดยช่องแคบดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักสำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และน้ำมันดิบของโลก 

 

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นล่าสุดส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่งขึ้นราว 2%-3% ในวันนี้ ทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน อย่างราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งแตะ 77.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะ 75.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 

 

เอกรินทร์ วงษ์ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งน้ำมันของโลก ตั้งอยู่ระหว่างอิหร่านและโอมาน โดยมีน้ำมันไหลผ่านวันละประมาณ 17 ล้านบาร์เรล หรือคิดเป็นประมาณ 17% ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก การปิดช่องแคบอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเสถียรภาพของตลาดน้ำมันโลก และอาจดันราคาน้ำมันให้สูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากการปิดช่องแคบยืดเยื้อ

 

สำหรับประเทศไทยซึ่งนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 85,000 ล้านลิตรในปีที่ผ่านมา โดยกว่าครึ่งมาจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ความเสี่ยงจากเหตุการณ์นี้จึงมีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากแหล่งเดียวกัน หากช่องทางขนส่งถูกปิดกั้นหรือมีข้อจำกัด ย่อมส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบและความต่อเนื่องในการผลิตทันที

 

ซึ่งเราประเมินหุ้นในกลุ่มพลังงานที่อาจจะได้รับผลกระทบดังนี้

 

  1. กลุ่มต้นน้ำ (Upstream)​ ได้รับผลบวก 

บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) มีสัดส่วนในการลงทุนในประเทศ UAE เพียง 10% เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นแหล่งก๊าซ ซึ่งขนส่งผ่านทางระบบท่อ ดังนั้นการปิดช่องแคบฮอร์มุซจึงไม่ส่งผลต่อการดำเนินงาน ในทางกลับกันราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากประเด็นดังกล่าว จะส่งผลเชิงบวกกับ PTTEP ที่ราคาขายจะเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน

 

  1. กลุ่มกลางน้ำ (Midstream) ได้รับผลลบ

กลุ่มโรงกลั่น อย่างหุ้น บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC), บมจ.บางจาก ศรีราชา (BSRC), บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซมากที่สุด ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันที่จัดหาที่อาจจะลดลงในขณะที่ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น โดย TOP, SPRC และ IRPC จะได้รับผลกระทบมากที่สุดเนื่องด้วยมีสัดส่วนในการใช้น้ำมันในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางสูงกว่า 60%

 

  1. กลุ่มปลายน้ำ (Downstream) ได้รับผลลบเล็กน้อย

กลุ่มสถานีบริการน้ำมัน อย่าง บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR), บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากอาจจะกระทบต่อปริมาณจำหน่ายน้ำมัน รวมถึงถ้าราคาน้ำมันมีความผันผวนในทิศทางขึ้นมากๆ อาจจะส่งผลให้การปรับราคาหน้าสถานีบริการเป็นไปได้ช้า และอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดในระยะสั้นได้

 

ด้าน Goldman Sachs Group Inc. สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก ออกรายงานเตือนถึงความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากที่สหรัฐอเมริกาปฏิบัติการโจมตีทางทหารต่อที่ตั้งนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าในกรณีฐาน (Base Case) ธนาคารจะยังคงคาดการณ์ว่าจะไม่มีการหยุดชะงักครั้งใหญ่ต่ออุปทานพลังงานในภูมิภาคก็ตาม

 

สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดพลังงานโลก โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเบรนท์ ซึ่งปัจจุบันซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเปิดตลาดเอเชียเช้านี้ ก่อนจะลดช่วงบวกลงบางส่วน หลังจากนักลงทุนกลับมาประเมินสถานการณ์อีกครั้งและพบว่าการขนส่งน้ำมันที่แท้จริงยังไม่ได้รับผลกระทบ

 

ด้าน สเตรยเวน นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ประเมิน 2 ฉากทัศน์ความเสี่ยง (Hypothetical Scenarios) หากความขัดแย้งลุกลามจนส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งพลังงานที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

  1. หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

  1. หากอุปทานน้ำมันจาก อิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อาจแตะจุดสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

นอกเหนือจากราคาน้ำมัน ตลาดก๊าซธรรมชาติก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดย Goldman Sachs ประเมินว่า สัญญาล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติมาตรฐานยุโรป (TTF) อาจปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 74 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง (หรือประมาณ 25 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู) ซึ่งเป็นระดับที่เคยส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุปสงค์ในช่วงวิกฤตพลังงานยุโรปปี 2022

 

ในกรณีที่เกิดการหยุดชะงักครั้งใหญ่และยืดเยื้อที่ช่องแคบฮอร์มุซ ราคาก๊าซธรรมชาติอาจพุ่งขึ้นไปถึง 100 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง

 

ภาพ: Anton Petrus / Getty Images 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising