ถึงตอนนี้เราเชื่อว่าคุณและคนรอบข้างน่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความเจ๋งและความอัจฉริยะของเจ้า iPhone 13 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วในทุกโมเดล ไล่ตั้งแต่ iPhone 13 Mini, iPhone 13, iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max หลังเปิดตัวไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ความพิเศษของ iPhone 13 ที่ทาง Apple ตั้งใจจะชูขึ้นมาเป็นจุดขาย นอกเหนือจากสีใหม่ Sierra Blue หรือความจุขนาดใหญ่ของตัวเครื่อง 1TB ในโมเดล 13 Pro และ 13 Pro Max และการแสดงผลจอแบบ ProMotion ที่ให้อัตราการแสดงผลเฟรมเรทสูงสุด 120HZ ก็คือ ‘กล้องถ่ายรูป’ ซึ่งทาง Apple และ ทิม คุก ซีอีโอของบริษัท เคลมด้วยตัวเองเลยว่า iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มีกล้องหลัง 2 ตัว และ 3 ตัว (ตามลำดับ) ที่ทรงพลังมากที่สุดและดีที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพัฒนามาเลยด้วยซ้ำ!
ถามว่าระบบกล้องทรงพลังที่ว่าของ iPhone 13 นั้นทรงพลังแค่ไหน
เริ่มที่ความเปลี่ยนแปลงใน iPhone 13 Mini และ iPhone 13 ก่อน ตัวกล้องหลังเป็นแบบเลนส์คู่ เลนส์ Tele ความละเอียดระดับ 12MP ทั้งเลนส์ Wide (รูรับแสงขนาด ƒ/1.6) และ Ultra Wide (รูรับแสงขนาด ƒ/2.4) มาพร้อมเซ็นเซอร์ใหม่ใหญ่ขึ้นที่ 1.7 µm พิกเซล ช่วยให้สามารถเก็บทุกโมเมนต์ในทุกๆ เวลา และทุกเหตุการณ์สำคัญได้อย่างเต็มอิ่มเช่นเคย แม้อยู่ในสภาวะแสงน้อย โดยที่ยังทำงานควบคู่กับ AI และ Machine Learnning พร้อมประมวลผลด้วยชิป A15 Bionic เพื่อการแสดงผลภาพและวิดีโอที่คมชัดแบบเรียลไทม์
รวมถึงยังรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic Mode ซึ่งการทำงานในโหมดนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปรับโฟกัสจากวัตถุหนึ่งไปสู่อีกวัตถุตอนถ่ายวิดีโอได้แบบลื่นไหล ไม่สะดุด และยังมีการสลับโฟกัสแบบชาญฉลาดอีกด้วย รวมถึงรองรับการทำงานในโหมด HDR และ Dolby Vision
ฝั่ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max มาพร้อมกล้องหลังสามตัวแบบใหม่ Tele ขนาด 77 มิลลิเมตร ซูมได้สูงสุด 3 เท่า (ซูมรวม 3 กล้องสูงสุด 6 เท่า), Wide (เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น 1.9 um พิกเซล ช่วยให้ลด Noise และกดสปีดชัตเตอร์ได้เร็วขึ้น รูรับแสงขนาด ƒ/1.5) และ Ultra Wide (มาพร้อมระบบ Auto Focus ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิม 92% มาพร้อมรูรับแสง ƒ/1.8)
ความต่างที่ทาง Apple ได้พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกคือการเพิ่มโหมดถ่ายรูป Macro Photography มาให้ ช่วยให้เราสามารถถ่ายรูปด้วยกำลังขยายวัตถุที่มีระยะโฟกัสใกล้สุด 2 เซนติเมตร ซึ่งจุดนี้จะช่วยให้เราถ่ายภาพระยะมาโครกับวัตถุต่างๆ ที่มีรายละเอียดและพื้นผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน เป็นเอกลักษณ์ ได้อย่างคมชัด และต่อยอดการทำคอนเทนต์ การถ่ายทอดเรื่องราวที่เราอยากนำเสนอได้หลากหลาย
และนอกจากจะมี Cinematic Mode เหมือนกับ iPhone 13 แล้ว บน Pro Model ก็ยังรองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 4K/30fps ในโหมด ProRes Video ที่ให้ระดับความคมชัดของสีหรืออุณหภูมิภาพละเอียดเทียบเท่าการถ่ายโฆษณาหรืองานภาพยนตร์เลยก็ว่าได้
เพื่อให้เจาะลึกลงไปอีกสเตปว่าเบื้องหลังการพัฒนานวัตกรรมกล้องถ่ายรูปเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ความตั้งใจของ Apple คืออยากจะทำอะไรกันแน่ แล้วในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนา การผสานทั้งเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันมีความยากง่ายมากน้อยแค่ไหน THE STANDARD จึงร่วมพูดคุยกับทีมวิศวกร Apple ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนากล้องถ่ายรูปของ iPhone ทั้งหมดแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อหาคำตอบทั้งหมดข้างต้น
รวมถึงคลายข้อสงสัยที่ว่า Apple ทำอย่างไรให้กล้องถ่ายรูปของ iPhone มีเสน่ห์ แตกต่าง ไม่เหมือนกับสมาร์ทโฟนค่ายอื่นๆ เป็นกล้องถ่ายรูปที่ผู้ใช้งานทั่วโลกต่างก็เทใจว่าให้ความสมจริงของภาพโดยรวมเหมือนกับที่ตาของเรามองเห็น
เริ่มต้นจากโจทย์ที่ว่า การพัฒนากล้องถ่ายรูป iPhone จะต้องยกระดับต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง
หลุยส์ ดัดลีย์ ผู้จัดการอาวุโสแผนกผลิตภัณฑ์ iPhone จาก Apple เริ่มต้นด้วยการบรรยายฟีเจอร์และความสามารถด้านกล้องถ่ายรูปของ iPhone 13 ทั้ง 4 โมเดลให้เราฟัง โดยบอกว่า ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPhone รุ่นใหม่ๆ ออกมาพร้อมการอัปเดตฮาร์ดแวร์อยู่เสมอ ตัวอย่างก็เช่น การเพิ่มเซ็นเซอร์เข้ามาในตัวกล้อง การพัฒนาดีไซน์ของเลนส์ หรือแม้แต่การเปิดตัวระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล แบบเปลี่ยนเซ็นเซอร์เมื่อปีที่แล้วกับ iPhone 12 ซึ่งเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน รวมถึงการดึงศักยภาพการทำงานร่วมกับชิป A Series ของ Apple ผ่านตัวประมวลผลสัญญาณภาพ (ISP) การถอดรหัสและเข้ารหัสวิดีโอ หรือ Neural Engine
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ iPhone รุ่นต่างๆ สามารถถ่ายภาพและวิดีโอออกมามีคุณภาพสุดๆ ทั้งการถ่ายรูป Portrait Mode, Deep Fusion (การนำภาพถ่ายหลายๆ ภาพมาประมวลผลโดย Neural Engine เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุดภาพเดียว) และ Smart HDR เป็นต้น ทำให้ประสบการณ์การถ่ายภาพด้วย iPhone มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร
ส่วนการเปิดตัว iPhone 13 ที่เพิ่งจบไปในเดือนกันยายนที่ผ่านมา และตอนนี้อยู่ในมือของใครหลายๆ คนที่กำลังใช้อ่านบทความนี้ ก็เป็น iPhone ในโมเดลที่มาพร้อมกับการยกเครื่องศักยภาพด้านกล้องถ่ายรูปครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในระบบกล้องหลังเลนส์คู่ใน iPhone 13 และ 13 Mini ซึ่งช่วยเก็บแสงของการถ่ายภาพและวิดีโอในที่มืด แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิม 50%
ฝั่ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ก็ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่สุดๆ เท่าที่เคยมีมาใน iPhone โมเดล Pro โดยเฉพาะการทำงานควบคู่กับชิป A15 Bionic พัฒนา Neural Engine ให้อัจฉริยะมากขึ้น รวมถึงความสามารถในการรีดศักยภาพการถ่ายรูปและวิดีโอขั้นสูงมาให้
หลุยส์บอกกับเราว่า ความตั้งใจของทีมงานทั้งฝั่ง Camera Hardware Engineering และ Camera Software Engineering รวมถึงทีมงาน Apple ทุกคน คือการพัฒนาประสิทธิภาพการถ่ายรูป วิดีโอ และการใช้งานกล้องของ iPhone ให้ยกระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็พิสูจน์ได้จาก iPhone 13 ที่ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่ทรงพลังด้านการถ่ายภาพมากที่สุดเท่าที่ Apple เคยเปิดตัวมา
เบื้องหลังกล้องทรงพลังมาจากการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมพัฒนาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
เกรแฮม ทาวน์เซนด์ รองประธานฝ่ายวิศวกรรมกล้องของ iPhone ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า สาเหตุที่ทำให้ Apple สามารถพัฒนากล้องถ่ายรูปออกมาได้ทรงประสิทธิภาพ เป็นผลมาจากการที่ทีมพัฒนาฮาร์ดแวร์กล้องของเขาทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับทีมวิศวกรด้านซอฟต์แวร์กล้องถ่ายรูปหรือในที่นี้ก็คือทีมของ จอน แมคคอร์แมค รองประธานฝ่ายวิศวกรซอฟต์แวร์กล้อง iPhone นั่นเอง เนื่องจากการพัฒนาฮาร์ดแวร์มีขั้นตอนที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก โดยจะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เช่น การพัฒนาเซ็นเซอร์, เลนส์, ตัวประมวลผลสัญญาณภาพ รวมถึงดีไซน์ทั้งหมดที่จะช่วยให้การประมวลผลของเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ทำได้ดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด
ซึ่งทั้งสองทีมต้องทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาชิปเซ็นเซอร์ระบบกันสั่นแบบ OIS ที่ทำให้ประมวลผลออกมาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากพอในการลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างที่ถ่ายวิดีโอหรือภาพนิ่ง และยังเป็นพื้นฐานที่ดีที่ทำให้ผลลัพธ์ภาพถ่ายหรือวิดีโอมีรายละเอียดที่สูงลิ่ว และช่วยให้ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถต่อยอดสู่ขั้นตอนการพัฒนาการใช้ประโยชน์ร่วมได้อย่างหลากหลาย
นอกจากนี้ การเพิ่มขนาดของเซ็นเซอร์ต่างๆ และขนาดของพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงเซ็นเซอร์ Ambient Light ตัวใหม่ ก็ยังช่วยให้กล้องของ iPhone 13 สามารถถ่ายภาพในสภาวะที่แสงน้อยได้ยอดเยี่ยม เก็บดีเทลรายละเอียดได้กว้างขึ้น ควบคู่ไปกับการลด Noise ลดสิ่งรบกวนในภาพ เมื่อรวมเข้ากับการทำงานของซอฟต์แวร์ระบบกล้องแล้ว จึงทำให้กล้อง iPhone 13 สามารถประมวลผลภาพถ่ายที่มีความแม่นยำทั้งในแง่ของสี แสง เงา ดีเทล ได้เหมือนตามองเห็น
ฟาก จอน แมคคอร์แมค บอกกับเราว่า ระบบกล้องถ่ายรูปของ iPhone เป็นอะไรที่มากกว่าแค่เลนส์ถ่ายรูปและเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลอด 3 ปีที่ผ่านมา การแข่งขันในความสามารถด้านการถ่ายรูปของสมาร์ทโฟนได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของกล้องถ่ายรูป iPhone นั่นจึงทำให้ Apple ต้องเร่งรังสรรค์ความสามารถของกล้องถ่ายรูปและวิดีโอให้เหนือระดับได้อยู่ตลอดเวลา ทั้ง Smart HDR, การถ่ายรูป Night Mode ในเวลากลางคืน และ Deep Fusion รวมถึงคุณภาพของภาพถ่ายแบบ Apple ProRAW ซึ่งให้รายละเอียดและดีเทลที่มากขึ้นกว่าไฟล์ถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างของการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ของกล้องถ่ายรูป iPhone ที่เกิดขึ้นมาจากการทำงานร่วมกันระหว่างทีมซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ก็คือ เมื่อเรากดแชะถ่ายภาพนิ่งด้วย iPhone ซอฟต์แวร์ของตัว iPhone จะดำเนินการประมวลผลภาพที่กดถ่ายภาพนั้น (แต่มีหลายเฟรม) แล้วดึงภาพที่มีดีเทลของแสง สี เงา ที่ดีที่สุดออกมา
จากนั้นจึงใช้แมชชีนเลิร์นนิงประมวลผล ทำความเข้าใจดีเทลต่างๆ ของภาพนั้นๆ ทีละส่วน เช่น พื้นหลัง วัตถุ แสง ผิวและเส้นผมมนุษย์ หรือแม้แต่ฟันของมนุษย์ แล้วทำการประมวลผลรวมออกมาเป็นภาพถ่ายแค่หนึ่งรูป ซึ่งพอมาฟังกระบวนการทำงานแบบอธิบายแล้ว แม้จะดูสลับซับซ้อนหลายขั้นตอน แต่เมื่อเราใช้ iPhone ถ่ายรูปจริง กล้องกลับใช้ระยะเวลาในการประมวลผลเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ประสานการทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ของทีมวิศวกรด้านกล้องของ iPhone และ Apple
จอนยังอธิบายต่อ โดยยกเคสการถ่ายรูปในโหมด Smart HDR ขึ้นมา เนื่องจากปัจจุบัน เวลาที่เราใช้ iPhone ถ่ายภาพบุคคล ตัวระบบและซอฟต์แวร์จะดำเนินการประมวลผลโดยอิงจากลักษณะทางกายภาพของบุคคลในภาพ เพื่อให้ได้ภาพที่มีคุณภาพสูงที่สุด และถูก Tailor Made การปรับแต่งขึ้นมาเฉพาะคนๆ นั้นจริงๆ
เช่น การประมวลผลโดยอิงจากสีผิว แสงของสภาพแวดล้อม ฯลฯ โดยที่ความพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาใน iPhone13 คือการที่ Apple พัฒนาให้มันสามารถถ่ายภาพด้วยสไตล์ที่หลากหลายแตกต่างกัน เช่น Rich Contrast, Vibrant, Warm และ Cool เป็นต้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงโทนสีผิวของบุคคล
ส่วนการถ่ายวิดีโอ จอนบอกว่าใน iPhone 13 ที่เปิดตัวออกมา Apple ได้พัฒนาความสามารถในการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic ภายใต้ขุมกำลังของแมชชีนเลิร์นนิงและ Neural Engine มาประมวลผลแบบเรียลไทม์ในทุกๆ วัตถุที่ปรากฏเป็นภาพเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังมนุษย์ ก้อนเมฆ ฯลฯ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า วิดีโอทุกวิดีโอที่เราถ่ายด้วย iPhone 13 จะสามารถเก็บรายละเอียด ความคมชัด ความสมจริงได้เหนือระดับ รวมถึงในทุกๆ สภาพแวดล้อม
ยกตัวอย่างก็เช่น ที่แสงน้อย, วิดีโอที่มีการเปลี่ยนพื้นหลัง เปลี่ยนซีน รวมถึงวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหวของวัตถุในภาพบ่อย และยังช่วยให้การถ่ายวิดีโอชัดลึก โฟกัสหน้า เบลอหลัง โฟกัสหลัง เบลอหน้า สวิตช์กลับไป-มาแบบอัตโนมัติได้อย่างชาญฉลาดและลื่นไหล ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ต่อยอดมาจากเทคโนโลยีและบทเรียนที่ Apple ได้รับในฟีเจอร์การถ่ายรูปแบบ Potrait Mode
ด้วยเทคโนโลยีกล้องถ่ายรูปและวิดีโอที่ Apple พัฒนามาใน iPhone 13 นี้ จอนบอกว่า มันจะเป็นนวัตกรรมสำหรับการเล่าเรื่อง (Story Telling) ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในกล้องถ่ายรูปทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ทีมงานของเขาและ Apple มุ่งหวังตั้งใจที่จะช่วยให้ผู้ใช้งาน iPhone ทุกคนไม่จำเป็นต้องมานั่งโฟกัสกับเทคโนโลยีและการปรับตั้งค่าอะไรให้วุ่นวาย เพื่อที่จะให้พวกเขามีสมาธิจดจ่อกับการถ่ายทอดเรื่องราวในแบบฉบับที่พวกเขาอยากถ่ายทอด บอกเล่าแทน
ถ่ายแบบมาโคร เครื่องมือ Story Telling ชั้นดี ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเล่าเรื่องผู้ใช้งาน
เราถามจอนต่อว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ Apple เพิ่งจะเริ่มนำฟีเจอร์การถ่ายภาพแบบมาโครเข้ามาเป็นครั้งแรกใน iPhone 13 Pro Model ซึ่งจอนก็ให้เหตุผลกับเราว่า ด้วยความเชื่อของ Apple ที่มองว่า ผู้ใช้งานทุกคนต่างก็มีเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ มีความยูนีก และแตกต่างในแบบของพวกเขาเองที่อยากจะบอกเล่า
ฉะนั้น ในเมื่อหัวใจสำคัญคือผู้ใช้งานควรจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวนั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากความ (ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ให้วุ่นวาย) แต่บางครั้ง เรื่องราวนั้นๆ ที่ผู้ใช้งานอยากเล่าก็อาจจะมีสเกลที่ใหญ่มากๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Apple พัฒนาเลนส์ Ultra Wide ขึ้นมาเพื่อให้เก็บภาพมุมกว้างได้ และบางครั้งพวกเขาก็อาจจะอยากเก็บภาพมุมใกล้แบบ Closed Up หรือถ่ายภาพแบบซูมวัตถุที่มีขนาดเล็กมากๆ จึงเป็นสาเหตุที่ Apple พัฒนาโหมดมาโครนั่นเอง
“เราอยากเพิ่มฟีเจอร์ในการถ่ายทอดเรื่องราวให้กับพวกเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ Apple อยากให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขา โดยไม่ต้องคิดเรื่องอื่นให้วุ่นวาย มากความ ไม่จำเป็นต้องมานั่งสลับกล้อง เปลี่ยนฟีเจอร์ หรือเลนส์ให้ปวดหัว
“ทีมงาน Apple ทั้งฝั่งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จึงทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อให้เกิดโซลูชันที่ผู้ใช้งาน iPhone 13 จะสามารถใช้งานกล้องถ่ายรูปได้ง่ายที่สุด (ตัวอย่างคือ เลนส์กล้องจะปรับเป็นโหมดมาโครแบบอัตโนมัติ เมื่อกล้องจ่อใกล้กับระยะห่างวัตถุที่ 2.2 เซนติเมตร) ช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนไม่พลาดทุกโมเมนต์สำคัญที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น แสงแดดแผดส่องตกกระทบ ดอกไม้ร่วงในสวนสาธารณะ
“เวลาเราจะพัฒนาฟีเจอร์ใดๆ สำหรับกล้องของ iPhone ออกมา เราจะต้องมองย้อนกลับไปเป็นร้อยๆ ปีถึงพฤติกรรมผู้ใช้งาน คนใช้งานทั่วๆ ไปเวลาใช้กล้องถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอเสมอ ซึ่งส่ิงเหล่านี้ทำให้ Apple มีคลังข้อมูลขนาดมหาศาลที่ทำให้เข้าใจได้ว่า ผู้ใช้งานใช้เครื่องมือใดในการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งก็ถือเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้เราสามารถพัฒนาโหมดการถ่ายรูปคนแบบ Portrait ออกมาได้เมื่อหลายปีก่อน และสิ่งที่สำคัญมากๆ ไม่แพ้กันก็คือ เราอยากให้ผู้ใช้งานใช้เครื่องมือหรือฟีเจอร์ต่างๆ ในการถ่ายรูปได้แบบธรรมชาติมากๆ ไม่จำเป็นต้องผ่านการเทรนนิ่ง เขาคอร์สการใช้งานให้วุ่นวาย หรือมีอุปกรณ์เสริมแพงๆ
“ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีกระบวนการการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมที่เป็นการบุกเบิกของอุตสาหกรรม ซึ่งเป้าหมายสูงสุดก็อย่างที่บอกไปคือ เราเชื่อว่าผู้คนควรจะถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาในวิถีและรูปแบบที่สวยงามที่สุด”
ความลับการพัฒนากล้องถ่ายรูป iPhone ให้ถ่ายภาพสมจริงเหมือนตาเห็นมาจากแพสชันของทีมนักพัฒนา
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้งาน iPhone ทั่วโลก เทใจให้กับ iPhone อย่างเหนียวแน่นจนเป็น Loyalty Fan ของ Apple ก็คือการที่กล้องถ่ายรูปของพวกเขาสามารถถ่ายรูปออกมาได้เป็นธรรมชาติ คมชัด และสมจริงเหมือนกับที่ตาของเรามองเห็น ซึ่งเป็นส่ิงที่ค่ายสมาร์ทโฟนคู่แข่งยังคงไม่สามารถไล่กวดพวกเขาได้
จอนบอกว่า เบื้องหลังที่ทำให้ Apple สามารถพัฒนากล้องของตัวเองออกมาได้ดี ถ่ายภาพได้สวยสมจริง เป็นเพราะทีมนักพัฒนาทุกคนต่างก็มีแพสชันในด้านการพัฒนากล้องกันอย่างเต็มเปี่ยม รวมถึงทุกคนก็ยังทำงานกันอย่างหนักมากๆ ด้วย
“หลักๆ แล้วคือเราทุกคนต้องทำงานกันอย่างหนักมากๆ ซึ่งแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีแพสชันในสิ่งนี้กันสูงลิ่ว ไม่ใช่แค่การพัฒนากล้องสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่คือ ‘การพัฒนากล้องถ่ายรูปที่ดีที่สุดในโลก’ โดยในช่วงที่เราเริ่มพัฒนาระบบกล้องของ iPhone เราตั้งต้นจากไอเดียที่ว่า มีเรื่องราวใดบ้างที่เราอยากให้ผู้คนสามารถถ่ายทอดมันออกมาหรือบอกเล่ากับคนอื่นๆ ซึ่งเราสามารถทำมันออกมาได้ก็เพราะแพสชัน และการประสานนวัตกรรมเทคโนโลยีทั้งหมดเข้าด้วยกัน
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไม Apple ถึงลงทุนในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง Smart HDR, Deep Fusion หรือ Night Mode รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายออกมา เพราะทั้งหมดก็เพื่อให้กล้องของ iPhone สามารถให้ผลลัพธ์ของภาพและวิดีโอที่มีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง”
เราถามจอนต่อว่าหากเขาสามารถสื่อสารกับผู้ใช้งาน iPhone ได้โดยตรง เขาอยากจะบอกอะไรกับผู้ใช้งาน iPhone และคนที่ใช้กล้องที่เขามีส่วนในการพัฒนาขึ้นมา
“ง่ายมากเลย ผมอยากจะบอกว่า ให้พวกเขาใช้ชีวิตของตัวเองซะ ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ (Living Your Life) มันอาจจะมีช่วงเวลาที่บ้าๆ หรือช่วงเวลาที่น่าจดจำ สำคัญ และคุณอยากจะบันทึกเก็บมันไว้ตลอดไป อย่าไปคิดอะไรให้มาก เพราะทุกๆ นาทีที่พวกเรามุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาความสามารถของกล้อง iPhone ก็เพื่อให้แน่ใจว่า เมื่อคุณหยิบกล้อง iPhone ออกมาจากกระเป๋า และคุณถ่ายภาพหรือวิดีโอนั้นๆ เอาไว้ เราจะช่วยคุณได้อย่างเต็มที่” รองประธานฝ่ายวิศวกรซอฟต์แวร์กล้อง iPhone กล่าว
คำถามสุดท้าย เราถามทั้งสามคนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นนวัตกรรมกล้องอะไรใหม่ๆ จาก iPhone และ Apple เปิดตัวออกมาอีกบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะทุกคนได้แต่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะเป็นหลุยส์ที่กล่าวปิดท้ายกับเราว่า
“คงต้องติดตามกันในอนาคตกันอีกทีแหละครับ แต่ก็อย่างที่เกรแฮมและจอนบอกเลยว่า Apple เรามีแพสชันในการพัฒนากล้องเป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งเดียวที่ผมตอบคุณได้ก็คือ ‘ทุกอย่างจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา’” หลุยส์กล่าวในที่สุด