ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกกลุ่มนักลงทุน จากปัจจัยบวกเรื่องการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการ์โควิดที่คลี่คลาย ‘FETCO’ คาดว่าหากภาคท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ดัน GDP เติบโต 4% ได้ Fund Flow จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยระดับแสนล้านบาท
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนตุลาคม 2564 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 168.69 สูงสุดตั้งแต่เริ่มทำการจัดทำดัชนี โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.2% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงอย่างมาก
นักลงทุนคาดหวังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โควิด และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดระลอกใหม่หลังเปิดประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนครั้งนี้ ร้อนแรงในระดับสูงมาก นักลงทุนทุกกลุ่มมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่าระดับ SET Index ปีหน้าน่าจะไปถึง 1,800 จุดได้ไม่ยาก ขณะที่เงินลงทุนจากต่างชาตินั้น ปีหน้าน่าจะได้เห็นการไหลเข้ามาลงทุนในหลักแสนล้านบาทได้ หากสภาพแวดล้อมตลาดหุ้นและเศรษฐกิจทั่วโลกไม่แย่ลง วิกฤตซัพพลายเชนและราคาพลังงานกลับสู่สมดุล” ไพบูลย์กล่าว
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนตุลาคม 2564 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม 2565) อยู่ในเกณฑ์ ‘ร้อนแรงอย่างมาก’ (ช่วงค่าดัชนี 160-200) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.2% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ระดับ 168.69
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ ‘ร้อนแรงอย่างมาก’ ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ ‘ร้อนแรง’
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ ความกังวลต่อสถานการณ์ระบาดของโควิดระลอกใหม่หลังเปิดประเทศ
ผลสำรวจ ณ เดือนตุลาคม 2564 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่มขึ้น 18.6% อยู่ที่ระดับ 161.63 อยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจดัชนี กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 6.7% อยู่ที่ระดับ 160.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 18.4% อยู่ที่ระดับ 157.89 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ปรับเพิ่ม 26.0% อยู่ที่ระดับ 180.00
ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 SET Index ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยได้ผลกระทบในเชิงบวกจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การออกมาตรการท่องเที่ยวทั้งโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย รวมถึงแผนการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศของภาครัฐ
โดยหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้นกว่ากลุ่มอื่น ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีมูลค่าซื้อสุทธิกว่า 15,773.15 ล้านบาทในเดือนตุลาคม ในขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทยครอบคลุมกว่า 70% ของจำนวนประชากรสำหรับเข็มแรก และเกือบ 50% สำหรับเข็มสอง โดย SET Index ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 ปิดที่ 1,623.43 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อนหน้า
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่
- วิกฤตพลังงานโลก ซึ่งราคาพลังงานทั้งน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ปรับตัวสูงขึ้นมาก
- การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่อาจชะลอตัวจากการขาดแคลนพลังงานในประเทศ
- สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทั้งประเด็นการค้า และประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และไต้หวัน
- ความกังวลต่อโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ (Stagflation) ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจากการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าระดับปกติมากในหลายประเทศ
ปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่
- การประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/64
- ความเสี่ยงจากการเกิดการแพร่ระบาดของโควิดระลอกใหม่จากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว สำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำที่เริ่มในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะต้องมีการติดตามและเฝ้าระวังจากภาครัฐอย่างเคร่งครัด
- สถานการณ์น้ำท่วมที่ยังยืดเยื้อ และราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือนพฤศจิกายน 2564 ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนพฤศจิกายนนี้อยู่ที่ระดับ 50 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครั้งที่แล้ว และยังอยู่ในเกณฑ์ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged) สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง. ในเดือนพฤศจิกายนนี้ กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เนื่องจาก ธปท. ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และธุรกิจต่างๆ เช่น สินเชื่อฟื้นฟู และพักทรัพย์พักหนี้ ความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงลดลง
อย่างไรก็ตาม ต้องคอยจับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตัวเลขผู้ติดเชื้อหลังเปิดเมือง หากสถานการณ์โควิดกลับมาแย่ลง และเศรษฐกิจฟื้นตัวน้อยกว่าคาด ธปท. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก
ส่วนดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 และ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 4 อยู่ในเกณฑ์ ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged) โดยดัชนีอยู่ในระดับเดียวกันจากครั้งที่แล้ว จากการมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้น คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนอาจปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนคาดว่า อัตราผลตอบแทนอาจไม่ปรับสูงขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 และ 10 ปี น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 1.24% และ 2.06% ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (21 ตุลาคม 2564) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานในตลาดตราสารหนี้ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP