จากกรณีที่ MSCI และ FTSE บริษัททำดัชนีราคาหุ้นชั้นนำของโลก ประกาศลดน้ำหนักหุ้นของ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ระหว่างกาล หลังจากปริมาณการถือครองหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่ลดลง โดยจะมีผลกดดันให้สัดส่วนของ INTUCH บนดัชนีอ้างอิงของ MSCI และ FTSE ลดลงไป 69.33 ล้านดอลลาร์ และ 51 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ในขณะที่ราคาหุ้น INTUCH วันนี้ (9 สิงหาคม) ปรับลดลงมาปิดตลาดที่ 63.25 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.78% มูลค่าการซื้อขายรวม 609.68 ล้านบาท
ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง มองว่า การที่ MSCI และ FTSE ใช้ Free Float เป็นหนึ่งในปัจจัยเพื่อกำหนดน้ำหนักการลงทุนของหุ้นแต่ละตัว เมื่อ INTUCH มี Free Float ลดลง ก็ย่อมถูกปรับน้ำหนักลงเป็นธรรมดา
แต่หากจะประเมินแนวโน้มของหุ้น INTUCH ในระยะถัดไป ส่วนนี้อาจจะไม่ได้เป็นผลจากการปรับลดน้ำหนักครั้งนี้มากนัก เพราะการลดน้ำหนักครั้งนี้จะกระทบแค่ส่วนของกองทุนประเภท Passive ที่ปรับน้ำหนักตามดัชนีอ้างอิง ส่วนกองทุนประเภท Active จะสนใจหุ้น INTUCH หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าแนวโน้มของ INTUCH จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้
“ประเด็นที่ต้องติดตามคือ GULF ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ของ INTUCH จะมีนโยบายอย่างไรตามมา ขึ้นอยู่กับว่าจะช่วยให้นักลงทุนเชื่อมั่นและมองเห็นความเป็นไปได้ของการต่อยอดธุรกิจได้อย่างไร ส่วนนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจมากกว่า”
ที่ผ่านมาเรามอง INTUCH เป็นหุ้นเงินสด (Cash Cow Company) โดยเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีความเสี่ยงมากนัก สภาพคล่องสูง ทำให้ INTUCH มักจะถูกจัดเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive หรือ Dividend แต่เรื่องของการเติบโตก็ไม่ชัดเจนนัก เพราะบริษัทลูกอย่าง ADVANC มักจะเติบโตแบบชั่วครั้งชั่วคราว และยังจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง
“ณ ตอนนี้ INTUCH ยังขาดสีสัน ขาดความตื่นเต้น แต่หาก GULF สามารถบอกได้ว่าจะเห็น Synergy อย่างไรกับฐานลูกค้าของ INTUCH หรือแนวทางการใช้ Database ต่างๆ ตลาดจะเริ่มมองเห็นการเติบโตของ INTUCH มากขึ้น และนักวิเคราะห์ก็มีแนวโน้มจะปรับมุมมองได้”