ต้องยอมรับว่าหลังจากภาคแรกจบลงไป เนื้อเรื่องหลังจากนั้นของแฟรนไชส์ Insidious ภาค 2 และ 3 ก็เริ่มเละเทะขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความน่ากลัวแบบดิบๆ ที่ค่อยๆ ลดลง เพราะมีการสร้างเหตุการณ์แยกย่อยเพื่อผูกเรื่องย้อนไปมาจนคนดูเริ่มตามไม่ติด และไม่เข้าใจว่าวิญญาณที่ตัวละครในเรื่องเจออยู่นั้นคืออะไร และเกิดขึ้นมาจากอะไรกันแน่ ทำให้แฟนๆ หลายคนเริ่มรู้สึกว่าความขลังของ Insidious เริ่มจางหายไปอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งภาคที่ 4 หรือ Insidious: The Last Key กับภารกิจครั้งใหม่ที่โหดที่สุดของคุณป้าเอลิส ร่างทรงที่คอยช่วยเหลือผู้คนจากวิญญาณร้าย คราวที่เธอต้องกลับไปยังบ้านหลังแรกที่เคยอยู่ ‘บ้าน’ ที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นคนทรงแบบทุกวันนี้ พร้อมกับการย้อนเรื่องราวในวัยเด็กจนโตว่าเด็กหญิงเอลิสต้องพบเจอกับ ‘อะไร’ มาบ้าง
ซึ่งพาร์ตวัยเด็กของคุณป้าคือกิมมิกสำคัญที่ช่วยยกระดับให้เนื้อเรื่องของภาคนี้ได้เป็นอย่างดี ปมหลายๆ อย่างทำให้เราเข้าใจตัวละครป้าเอลิสมากขึ้น มีหลายฉากที่เฉลยเหตุผลการกระทำของคุณป้าในภาคก่อน ที่นับว่ามีเหตุผลกว่าการย้อนอดีตของทุกภาคที่ผ่านมา
สิ่งที่ดีที่สุดคือความน่ากลัวของภาคนี้ไม่ได้โฟกัสไปที่วิญญาณจากภายนอกที่มาปะทะกับตัวละครต่างๆ อย่างเดียว แต่ความน่ากลัวจะเจาะลึกลงไปที่เบื้องลึกของจิตใจตัวละครและป้าเอลิส และหนังกล้าที่จะหยิบประเด็นการถอดจิตเพื่อเข้าไปถึงวิญญาณร้ายที่อยู่ภายใน โดยอาศัย ‘กุญแจ’ บางอย่างเพื่อเข้าไปยังส่วนลึกที่สุด ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่เจ้าปีศาจกุญแจ คีย์หลักของเรื่องได้แสดงอิทธิฤทธิ์อย่างเต็มที่ ทั้งรูปลักษณ์มือกุญแจที่ตอนแรกเรายังนึกไม่ออกว่ามันจะน่ากลัวได้อย่างไร แต่เอาจริงๆ นิ้วพวกนี้จะทำให้พวกเราหลอนเวลาไขกุญแจได้หลายวัน และการเล่นกับจิตใจของตัวละครที่ฉลาดและไม่เน้นโฉ่งฉ่างเหมือนกับภาคที่ผ่านไปมา จนเราเชื่อว่าจะกลายเป็นปีศาจขึ้นหิ้งของวงการหนังผีฝรั่งได้ไม่ยาก
แต่สิ่งที่อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนของหนังสำหรับบางคนคือ ด้วยความที่หนังไปเล่นกับจิตใจของตัวละครเสียส่วนใหญ่ ทำให้ฉากจัมป์สแกร์ตุ้งแช่แบบก่อนๆ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อาจทำให้ไม่สะใจแฟนหนังรุ่นแรกๆ มากเท่าไร แต่ถ้าพูดถึงความหลอนและการต่อสู้ในจิตใจของตัวละครแล้ว เรารู้สึกถึงความเข้มข้นในแบบคล้ายๆ Get Out ที่เรายกให้เป็นหนังทริลเลอร์ที่ดีที่สุดของปีที่แล้วได้เลย และ Blumhouse Productions ผู้สร้างทั้ง 2 เรื่องคือบริษัทหนังทริลเลอร์ที่ดีที่สุดในยุคนี้