สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชายังคงเป็นสถานการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะข่าวการเสริมกำลังทหารและอาวุธหนักจากฝ่ายกัมพูชาเข้ามาประชิดชายแดน และท่าที่ของการเจรจาที่ฝ่ายกองทัพไทยเปิดเผยว่าไม่ได้ผลเท่าที่ควร ซึ่งก็ต้องเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยต้องหาทางแก้ปัญหากันต่อไป เพราะเชื่อว่าที่สุดแล้ว สงครามไม่ควรเป็นคำตอบของทุกปัญหา
อย่างไรก็ตาม การเตรียมรับมือสงครามอาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะวัดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะนำไปสู่การปะทะตามแนวชายแดนเหมือนปี 2554 ซึ่งการเตรียมตัวอย่างหนึ่งก็คือการพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าไทยต้องปะทะกับกัมพูชาจริง กองทัพไทยต้องเจอกับอะไร ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบของคำถามที่หลายคนสงสัยว่า เพราะเหตุใดจึงดูเหมือนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการเร่งให้เกิดสถานการณ์การปะทะและสงครามซึ่งต่างจากเมื่อปี 2554 พอสมควร
ประเด็นนี้อาจต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ซึ่งมีการปะทะกันในแนวชายแดน แม้ว่าจะเป็นการปะทะที่รุนแรงและมีการใช้อาวุธหนักยิงใส่กัน แต่ต้องยอมรับว่าด้วยศักยภาพที่ต่างกันมากของทั้งสองกองทัพ ทำให้ฝ่ายกัมพูชามีความเสียหายค่อนข้างมาก จากข้อมูลของการทำการประเมินความเสียหายของสนามรบของฝั่งไทย จนมีภาพที่เราเห็นก็คือนายพลของฝ่ายกัมพูชาถึงกับร้องไห้ออกทีวี
แม้ว่าหลังการปะทะ ฝ่ายกองทัพไทยก็มีการเรียนรู้และปรับปรุงกองทัพในหลายด้าน แต่ต้องยอมรับว่า ฝ่ายกัมพูชามีการปรับปรุงกองทัพมากกว่าและเข้มข้นกว่า เพื่อจุดประสงค์ในการลดช่องว่างของกองทัพกัมพูชากับประเทศเพื่อนบ้านลง
ประกอบกับปัจจัยที่สำคัญคือการเข้ามามีบทบาททั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีน ซึ่งจีนจะเข้ามาลงทุนในกัมพูชาเป็นจำนวนมาก แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายโครงการยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถือได้ว่าแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของจีนในกัมพูชามากพอสมควร
เพื่อตอบแทนการลงทุนเหล่านั้น จีนให้ความช่วยเหลือกัมพูชาทั้งการมอบอาวุธและการฝึกให้กับกองทัพกัมพูชาเป็นจำนวนมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งอาวุธแต่ละรายการถือว่าเป็นอาวุธที่ช่วยลดหรือปิดจุดอ่อนของกองทัพกัมพูชาเมื่อเทียบกับไทยแทบทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่น ปืนใหญ่อัตตาจร ขนาด 155 มม. แบบ SH-1 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพบกกัมพูชามีปืนใหญ่อัตตาจรใช้งาน ปืนใหญ่อัตตาจรคือปืนใหญ่ที่ติดตั้งบนรถบรรทุก สามารถทำการจอดตั้งยิงและย้ายที่ได้ด้วยความรวดเร็วกว่าปืนใหญ่ลากจูงที่ต้องตั้งยิงอยู่กับที่ ซึ่งก็เป็นเทคนิคที่ไทยใช้กับกัมพูชาได้ผลในปี 2554 เช่นกัน การรับมอบปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 จำนวน 30 คันนั้นทำให้กัมพูชามีขีดความสามารถในการสนับสนุนกำลังในแนวหน้าได้คล่องตัวมากขึ้น
หรือจรวดต่อสู้อากาศยานแบบ KS-1C ซึ่งมีข่าวว่ากัมพูชาได้รับมอบให้ฟรีจำนวน 4 ชุด ซึ่งจรวดแบบนี้เป็นจรวดต่อสู้อากาศยานที่มีขีดความสามารถสูง ทำการยิงได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร ถือว่าเป็นครั้งแรกเช่นกันที่กองทัพกัมพูชามีขีดความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูง ซึ่งถือเป็นการลดจุดอ่อนและข้อจำกัดของกองทัพกัมพูชาที่ไม่มีเครื่องบินขับไล่หรือโจมตีใช้งาน และเป็นสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาค่อนข้างภาคภูมิใจและมักจะพูดเสมอว่า “กัมพูชาไม่จำเป็นต้องมีเครื่องบินรบก็สามารถป้องกันภัยทางอากาศได้”
การมีจรวดแบบนี้ แม้ว่าความคล่องตัวในการใช้งานจะไม่เท่ากับการมีเครื่องบินรบ เพราะตัวจรวดทำได้หน้าที่เดียวคือการยิงโจมตีอากาศยาน ต่างจากเครื่องบินรบที่สามารถทำได้หลายภารกิจ แต่การมีจรวดที่มีขีดความสามารถสูงคุ้มครองบริเวณที่มีการสู้รบก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องวางแผนและระมัดระวังมากขึ้นในการใช้อากาศยานเพื่อสนับสนุนกำลังภาคพื้นดิน
นอกจากการปิดจุดอ่อนแล้ว จีนยังช่วยเสริมจุดแข็งให้กับกัมพูชาซึ่งมีจรวดหลายลำกล้องใช้งานอยู่มากพอสมควรตามยุทธวิธีแบบโซเวียตเดิม ด้วยการมอบหรือขายจรวดหลายลำกล้องแบบใหม่ๆ ให้กับกัมพูชาเพื่อทำให้กัมพูชามีขีดความสามารถในการใช้จรวดหลายลำกล้องได้ดีขึ้นยิ่ง เพราะในการปะทะกับไทยครั้งที่แล้ว กองทัพบกกัมพูชาประสบความสำเร็จในการใช้งานจรวดหลายลำกล้องค่อนข้างน้อย เพราะด้วยธรรมชาติของจรวดแบบ BM-21 ที่ผลิตในโซเวียตหรือ PHL-81 ที่ผลิตในจีนซึ่งใช้จรวดขนาด 122 มม. นั้นจะมีความแม่นยำต่ำ ต้องใช้การยิงเป็นจำนวนมากเพื่อทำลายเป้าหมายในบริเวณกว้าง แต่ในปี 2554 กัมพูชามีจรวดไม่ได้มากนัก จึงทำให้ต้องทำการยิงทีละน้อยๆ ซึ่งสร้างความเสียหายไม่มากนัก
แต่การได้รับมอบและจัดหาจรวดหลายลำกล้องแบบใหม่ๆ เข้ามาทั้ง RM-70 ที่ผลิตในโรมาเนียหรือ PHL-90B ที่ผลิตในจีนรวมกันมากกว่า 100 แท่นยิง จะทำให้กองทัพบกกัมพูชาสามารถใช้จรวดหลายลำกล้องได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการยิงจรวดทีละมากๆ เข้าใส่เป้าหมายบริเวณกว้างเพื่อเพิ่มอำนาจการยิงได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ จีนมอบจรวดแบบใหม่ให้กับกัมพูชาก็คือ AR2 ซึ่งเป็นจรวดหลายลำกล้องขนาดใหญ่ มีระยะยิงไกล 70-130 กิโลเมตร ถือว่าไกลกว่าจรวดหลายลำกล้องแบบอื่นของกัมพูชาที่มีระยะยิงเพียง 40 กิโลเมตร นอกจากนั้นถ้าจีนมอบลูกจรวดนำวิถีให้กับกัมพูชา ก็จะทำให้กัมพูชามีขีดความสามารถในการโจมตีระยะไกลด้วยความแม่นยำสูงได้เป็นครั้งแรก
ไม่เฉพาะกำลังทางบกเท่านั้น จีนยังมอบเรือตรวจการณ์จำนวนหนึ่งให้กับกองทัพเรือกัมพูชา และกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงเมื่อปีที่แล้วว่าจะรับมอบเรือรบจำนวน 2 ลำจากจีนและจะเข้าประจำการในปีนี้ โดยหลายฝ่ายคาดว่าเรือรบทั้งสองลำนั้นคือเรือคอร์เวตชั้น Type-056 ซึ่งจากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่าจีนนำมาจอดที่ฐานทัพเรือเรียมที่จีนออกทุนให้สร้างขึ้นใหม่มาเป็นระยะเวลานานแล้ว และมีข่าวว่ากองทัพเรือกัมพูชาได้ทำการฝึกกับเรือทั้งสองลำนี้แล้ว
ขีดความสามารถของเรือลำนี้เป็นขีดความสามารถที่กองทัพเรือกัมพูชาไม่เคยมีมาก่อน เพราะกองทัพเรือกัมพูชามีขนาดเล็กและมีแต่เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งที่ติดปืนขนาดเล็กเท่านั้น แต่เรือทั้งสองลำนี้ ถ้าจีนมอบอาวุธต่างๆ ให้กับกัมพูชาตามมาตรฐานที่ติดตั้งในกองทัพเรือจีน ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือกัมพูชามีขีดความสามารถในการโจมตีต่อต้านเรือผิวน้ำด้วยจรวดต่อต้านเรือผิวน้ำแบบ C-802A มีระบบป้องกันตัวเองจากอากาศยานด้วยจรวด HHQ-10 และมีเรดาร์ตรวจการณ์และควบคุมการยิงอาวุธที่ทันสมัย ซึ่งช่วยยกระดับกองทัพเรือกัมพูชาจากเดิมหลายเท่า
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า ถ้ากัมพูชาจะรู้สึกว่ามีความมั่นใจมากขึ้นในการปะทะกับไทยครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะกัมพูชาได้อาวุธที่ดีจำนวนมากจากจีน ซึ่งก็รวมถึงยุทธวิธีและการฝึกแบบใหม่ๆ จากจีนที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน และก็มีความเป็นไปได้ว่า จีนอาจจะต้องการทดสอบและเรียนรู้ว่ายุทธวิธีที่ตนพัฒนาขึ้นนั้น เมื่อใช้กับประเทศที่ใช้ยุทธวิธีของตะวันตกอย่างไทยจะได้ผลอย่างไร ผ่านการสอนและการประเมินผลการรบของกัมพูชากับไทย
ซึ่งนี่ก็เป็นโจทย์ที่ยากขึ้นของไทย เพราะแม้ว่าต่อให้เทียบกันแล้ว กองทัพไทยก็ยังมีขีดความสามารถสูงกว่ากองทัพกัมพูชาค่อนข้างมากอยู่ดี แต่ช่องว่างที่เคยห่างกันมากก็ห่างกันน้อยลงกว่าเดิม อีกทั้งกัมพูชายังมีอาวุธที่สามารถสร้างปัญหาให้กับไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากัมพูชาสามารถใช้จรวดของจีนที่ได้รับมอบมาใหม่ยิงเครื่องบินรบของไทยตกแม้เพียงลำเดียว ก็จะถือเป็นชัยชนะทางจิตวิทยาและชื่อเสียงของกัมพูชา โดยอาจไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ในการรบมากนัก เหมือนเช่นที่ปากีสถานสามารถยิงเครื่องบิน Rafale ของอินเดียตกได้ ซึ่งแม้ว่าปากีสถานจะถูกโจมตีหลายจุด แต่โดยผลของความรู้สึกแล้ว ปากีสถานก็เหมือนชนะอินเดีย เพราะสามารถทำลายเครื่องบินที่ดีที่สุดของอินเดียได้
และทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นไปเพื่อการเสริมสร้างบารมีของผู้นำคนใหม่อย่างฮุนมาเน็ต ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการในการรบกับไทยเมื่อปี 2554 ด้วยการฉายภาพว่าฮุนมาเน็ตเป็นผู้นำที่เอาชนะศัตรูของชาติอย่างไทยได้ และนั่นก็จะทำให้เก้าอี้ผู้นำประเทศของตระกูลฮุนมั่นคงไปอีกนาน