บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินตลาดน้ำมันโลกช่วงครึ่งหลังปี 2023 ตึงตัวมากขึ้นจากช่วงครึ่งแรก อุปสงค์ฟื้นตัวต่อเนื่อง ฟากซาอุดีอาระเบีย-รัสเซียลดกำลังการผลิตน้ำมันถึงสิ้นปีนี้ทำอุปทานหาย
สุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง หลังประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่คือซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย ประกาศปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันตั้งแต่ในเดือนกรกฎาคมปีนี้ โดยซาอุดีอาระเบียมีการลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่รัสเซียลดการส่งออกน้ำมันดิบลง 3 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยล่าสุดได้ขยายเวลาลดกำลังผลิตดังกล่าวต่อไปถึงสิ้นปี 2023
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วิเคราะห์ ‘ลดราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า’ นโยบายว้าวุ่นที่เกาไม่เคยถูกที่คัน?
- ราคาน้ำมันพุ่งสูงสุดรอบ 10 เดือน คาดหวังผู้นำ OPEC+ ต่ออายุแผนลดกำลังการผลิต
- หุ้นไทยออยล์ ดิ่งนิวโลว์รอบ 1 เดือน หลังเกิดเหตุเรือบรรทุกน้ำมันรั่วขณะขนถ่ายกลางทะเล เสี่ยงโดนสั่งปิดทุ่นผูกเรือ กระทบธุรกิจ
“เป็นสิ่งเซอร์ไพรส์ตลาด เพราะปกติซาอุดีอาระเบียกับรัสเซียประกาศปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันแบบเดือนต่อเดือน แต่ในรอบนี้ประกาศออกมารวดเดียว 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคมปีนี้ ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกบวกขึ้นมาต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์จากช่วงต้นไตรมาส 3/23 ถึงตอนนี้ขึ้นมาแล้วมากกว่า 20%”
สำหรับภาพรวมของตลาดน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 มีภาพการตึงตัวมากขึ้นจากช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยมาจากปัจจัยทั้งฝั่งอุปสงค์ที่มีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้เศรษฐกิจของจีนจะมีสัญญาณที่อ่อนแอ แต่ภาพของการบริโภคน้ำมันยังมีการเติบโตที่ค่อนข้างดี โดยในเดือนสิงหาคมปีนี้ จีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบในระดับที่สูง มีตัวเลขการบริโภคเติบโต เมื่อเปรียบเทียบทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและช่วงเดือนก่อนหน้า
อีกทั้งการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศคาดว่ายังมีโอกาสจะเห็นการเติบโตได้อีกต่อเนื่อง ซึ่งการเดินทางทางอากาศในเอเชีย-แปซิฟิกยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดระบาดอยู่ประมาณ 30% จึงน่าจะเป็นแรงส่งต่อเนื่องต่อราคาน้ำมันไปถึงช่วงปลายปี
ขณะที่ในฝั่งของสหรัฐฯ ข้อมูลการจราจรก็มีตัวเลขเติบโตขึ้นออกมาสูงสุดในรอบ 5 ปี ตอกย้ำว่าอุปสงค์การใช้น้ำมันของโลกค่อนข้างปรับเพิ่มได้ค่อนข้างดี ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อุปทานของน้ำมันจะมีต่ำกว่าอุปสงค์ที่จะเข้ามา ส่งผลให้มีการดึงสต๊อกน้ำมันที่มีออกมาใช้ทั้งในฝั่งของน้ำมันดีเซลและเบนซิน ทำให้สต๊อกน้ำมันของสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำ
จับตาระยะสั้นน้ำมันทะลุ 100 ดอลลาร์
ดังนั้นในระยะสั้นจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำดิบพุ่งขึ้นไปเหนือระดับ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ แต่อาจไม่สามารถยืนที่ระดับราคาดังกล่าวได้นาน เพราะเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงการชะลอตัว อาจมีผลกระทบให้อุปสงค์หายไปเป็นปัจจัยกดดันให้อัปไซด์ของราคาน้ำมันมีจำกัด
อย่างไรก็ดียังต้องติดตามสหรัฐฯ ที่เข้าใกล้สู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี ว่าจะมีนโยบายด้านพลังงานอย่างไร หลังจากที่สต๊อกคลังน้ำมันสหรัฐฯ ลดลงต่ำสุดในรอบหลายสิบปีว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาหรือไม่
ส่วนนโยบายรัฐบาลใหม่ของไทยที่มีนโยบายลดราคาพลังงานในส่วนของราคาค่าไฟฟ้ากับราคาขายปลีกน้ำมันที่ประกาศออกมาเป็นนโยบายเร่งด่วน ปัจจุบันเป็นนโยบายที่มองว่ายังไม่มีความชัดเจนออกมามากนัก ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศราคาค่าไฟฟ้าในเดือนกันยายน-ธันวาคมปีนี้ออกมาแล้วอยู่ที่ 4.45 บาทต่อหน่วย ส่วนค่าเอฟทีอยู่ที่ 6-7 สตางค์
ด้านผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้องติดตามว่านโยบายการลดราคาพลังงานของรัฐบาลจะเลือกใช้เจาะจงแบบเฉพาะกลุ่มกับผู้มีรายได้น้อยหรือใช้ไฟฟ้าน้อย ซึ่งตามกระแสข่าวว่าอาจปรับลดลงมาที่ 3.9 บาทต่อหน่วย หากเป็นกรณีนี้ประเมินว่าจะมีผลกระทบไม่มากต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ บมจ.ปตท. หรือ PTT ที่มีงบดุลที่มีความแข็งแกร่ง
อีกส่วนคือการลดราคาไฟฟ้าลง 20-25 สตางค์ ผ่านวิธีการยืดหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลอาจปรับลดค่าเอฟทีลง ซึ่งบางส่วนจะเป็นเงินที่ต้องแบ่งไปจ่ายคืนหนี้ให้ กฟผ. โดยขยายระยะเวลาในการคืนหนี้ให้กับ กฟผ. ออกไป โดยประเด็นนี้ไปกดดันมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่มีการขายไฟฟ้าบางส่วนให้ภาคอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบจากราคาขายไฟฟ้าที่จะลดลง ขณะที่มีกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์คือ กลุ่มที่มีการใช้ไฟฟ้าปริมาณสูง ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงแรม
สำหรับในฝั่งการลดราคาน้ำมัน หากพิจารณาถึงฐานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประเมินว่ายังมีความสามารถในการอุดหนุนนโยบายลดราคาน้ำมันดีเซลลงไปที่ 30 บาทต่อลิตร หรือ 32 บาทต่อลิตรได้ รวมถึงการลดภาษีสรรพสามิตลงบางส่วนด้วย คาดว่าจะไม่มีผลกระทบต่อบริษัทน้ำมัน
น้ำมันโลกขึ้นแต่หุ้นค้าปลีกน้ำมันเสี่ยง
อย่างไรก็ดี แนะนำให้นักลงทุนมีความระมัดระวังในหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นช่วงขาขึ้น จะมีผลให้ค่าการตลาดปรับลดลง เพราะจะถูกเพ่งเล็งว่าค่าการตลาดของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกน้ำมันสูงเกินไปหรือไม่
สุทธิชัยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นพลังงาน ประเมินว่าหุ้นที่มีความปลอดภัยไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล คือ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP อีกทั้งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์ทางตรงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ดีดขึ้นในระยะสั้น
ขณะที่แนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ประเมินว่าจะยังอยู่ในระดับที่ดีจากหลายปัจจัยสนับสนุน โดยมีหุ้นแนะนำคือ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP ที่มีการกระจายฐานธุรกิจที่ดี รวมถึงได้ประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO รวมถึงแนะนำทยอยสะสม บมจ.ปตท. หรือ PTT ที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมัน และ GRM ที่ปรับเพิ่มขึ้น