อัตราเงินเฟ้อไทยติดลบ 4 เดือนต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน โดยลดลง 0.7% YoY ต่ำสุดในรอบ 17 เดือน กระทรวงพาณิชย์คงคาดการณ์เงินเฟ้อตลอดทั้งปีที่ 0.5% ยันไทยไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด มองกำลังซื้อและอุปสงค์ยังไม่มีปัญหา พร้อมจับตาผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ต่ออัตราเงินเฟ้อไทย
วันนี้ (6 สิงหาคม) พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (Headline CPI) เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 100.15 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.86 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.70% (YoY) นับว่า ติดลบหนักสุดในรอบ 17 เดือน หรือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2567 ซึ่งตอนนั้นอัตราเงินเฟ้อไทย -0.77% YoY
โดยมาจากปัจจัยหลัก ดังนี้
- การลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาสินค้าในกลุ่มผักสด ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคล
- การลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่ากระแสไฟฟ้าตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ
สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ไม่นับรวมอาหารและพลังงาน พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.84% (YoY) แต่ชะลอลงจากเดือนมิถุนายน 2568 ที่สูงขึ้นร้อยละ 1.06 (YoY)
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเฉลี่ย 7 เดือน (มกราคม – กรกฎาคม) ของปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2567 สูงขึ้น 0.21% (AoA)
ยันไทยยังไม่เข้าสู่ ‘ภาวะเงินฝืด’ ชี้เป็นผลจากต้นทุนที่ลดลง
โดยพูนพงษ์ยืนยันว่า ไทยไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เนื่องจากสาเหตุที่อัตราเงินเฟ้อลดลงเดือนนี้มาจากราคาพลังงานเชื้อเพลิง ต่างๆ ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล รวมถึงค่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในเดือนกรกฎาคม 2568 ต่ำลง 6 บาท เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมปีก่อน
ส่วนอีกปัจจัยมาจากราคาผักสด และผลไม้สด ที่มีราคาลดลง 22 จากทั้งหมดรายการ 32 รายการ โดยชี้ว่า ผลกระทบของลานีญาที่ทำให้ปริมาณฝนมีมากกว่าปกติ ผลผลิตทางการเกษตรจึงมีปริมาณมากในปีนี้
พร้อมกันนี้ พูนพงษ์ย้ำว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงในเดือนกรกฎาคมไม่ได้เป็นผลมาจากปัจจัยด้านอุปสงค์ หรือความต้องการซื้อสินค้าและบริการ จึงยืนยันได้ว่าไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด
เปิดแนวโน้มเงินเฟ้อไทยระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม พูนพงษ์ คาดการณ์ว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคม 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับใกล้เคียงกับเดือนกรกฎาคม 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่
- ราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างอ่อนแอ และความตึงเครียดจากความขัดแย้งของประเทศผู้ผลิตน้ำมันอยู่ในระดับจำกัด
- ภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft งวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ลง 17 สตางค์ ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย
- ราคาผักสดและผลไม้สดอยู่ระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้น
- ค่าบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวลดลง ตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวต่าง ๆ ประกอบกับผู้ประกอบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อตอบรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง
สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่
- ราคาสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น เนื้อสุกร มะพร้าว มะขามเปียก กาแฟ เกลือป่น และน้ำมันพืช เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หลายสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะราคาน้ำมันพืช และเนื้อสุกร
- อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ต่อประเทศคู่ค้าต่าง ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเป็นอัตราที่ต่ำกว่าครั้งก่อนหน้า ซึ่งจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกทยอยปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น
จับตาผลกระทบต่อเงินเฟ้อจากภาษีทรัมป์
สำหรับผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐฯ ต่ออัตราเงินเฟ้อไทย หลังสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยที่อัตรา 19% นั้น พูนพงษ์ประเมินว่า การที่ไทยได้อัตราภาษีใกล้เคียงกับ 5 ประเทศเพื่อนบ้าน จึงคาดว่า จะไม่มีความได้เปรียบ-เสียเปรียบที่ต่างกันมาก และยังคาดว่า จะมีผลกระทบในเชิงบวกต่อภาวะเงินเฟ้อเล็กน้อย โดยยังต้องจับตาการเจรจา ซึ่งยังดำเนินต่อไป เพื่อรอดูรายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังต้องรอพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากจีนระบายสินค้าเข้าสู่ตลาดไทยมากขึ้นด้วย ว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าประเภทต่างๆ ของไทยมากน้อยเพียงใด
พาณิชย์จ่อปรับคาดการณ์เงินเฟ้ออีกครั้งหลังไตรมาส 3
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 อยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0% (ค่ากลาง 0.5%) ภายใต้สมมติฐานที่ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปี 2568 อยู่ที่ 1.3-2.3% โดยไตรมาส 3 อาจติดลบที่ 0.5% ก่อนปรับเป็นบวกในไตรมาส 4 พร้อมทั้งมองว่า คาดการณ์ดังกล่าวยังเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และชี้ว่าจะมีการทบทวนอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3
เงินเฟ้อไทยรองบ๊วยอาเซียน
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนมิถุนายน 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.25% (YoY) อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 10 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข และต่ำสุดเป็นอันดับสองของกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว)
- 🇧🇳บรูไน -0.6%
- 🇹🇭ไทย -0.25%
- 🇸🇬สิงคโปร์ 0.8%
- 🇲🇾มาเลเซีย 1.1%
- 🇵🇭ฟิลิปปินส์ 1.4%
- 🇰🇭กัมพูชา 1.59%
- 🇮🇩อินโดนีเซีย 1.87%
- 🇻🇳เวียดนาม 3.57%
- 🇱🇦สปป.ลาว 7.2%