ไม่มีใครคาดคิดว่าการระบาดของโรคโควิดจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเคยอยู่ในระดับต่ำจนเป็นปัญหา กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบไม่ทันตั้งตัว เพื่อกำราบเงินเฟ้อไม่ให้เร่งตัวไปมากกว่านี้จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเรื่อยๆ อาจเพิ่มต้นทุนให้ภาคธุรกิจ ลดทอนการเติบโตของเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนได้
ดังนั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือ ธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์และวางแผนใช้นโยบายและเครื่องมือที่ถูกต้องและเหมาะสม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
- ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เผยพร้อม ‘ขึ้นดอกเบี้ยแรง’ หากเงินเฟ้อพื้นฐานไม่เป็นไปตามคาด พร้อมยันบาทอ่อนกระทบเงินเฟ้อไม่มาก
- นักเศรษฐศาสตร์ฟันธง เงินเฟ้อ ทั่วโลกผ่านจุดพีค แต่จะไม่กลับไปต่ำเท่ากับช่วงก่อนโควิด
โดยบนเวที ‘เมื่อโลกหมุนไว: นโยบายการเงินกับการปรับตัวต่อความท้าทายใหม่’ ในงาน BOT Symposium 2022 ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคต ธนาคารกลางควรใช้ ‘จิตนาการ’ และ ‘ความเป็นมนุษย์’ ในการคาดการณ์ (Forecast) มากขึ้น แทนที่จะใช้ข้อมูลและโมเดลต่างๆ อย่างเดียว นอกจากนี้ ยังควรมีแผนสอง และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
ภาวะเงินเฟ้อสูง การเติบโตเศรษฐกิจต่ำ: ความท้าทายใหม่ของแบงก์ชาติ
นนท์ พฤกษ์ศิริ และ ขวัญรวี ยงต้นสกุล เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า หัวใจของการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเป็นการชั่งน้ำหนักระหว่างเป้าหมายต่างๆ (Trade-Off) ทั้งเงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระบบการเงิน
“การชั่งน้ำหนักระหว่างเป้าหมายเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจคือสิ่งที่ ธปท. กำลังเผชิญ เพราะนโยบายการเงินทำงานผ่านช่องทางอุปสงค์ ทำให้บางครั้งผลกระทบของนโยบายการเงินต่อสองเป้าหมายนี้จึงสวนทางกัน การชั่งน้ำหนักดังกล่าวจึงมีความยากมากขึ้น” ขวัญรวีกล่าว
โดยจะเห็นได้ว่าก่อนการระบาดของโรคโควิด อัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ แต่เมื่อเกิดการระบาดใหญ่ อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจทรุดตัวลงอย่างหนัก ทำให้ไม่มีการพูดถึงนโยบายการเงินมากนัก
แต่เมื่อการระบาดใหญ่สิ้นสุด อัตราเงินเฟ้อกลับพุ่งสูงขึ้น ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยการเคลื่อนไหวที่สวนทางกันนี้ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินกลายเป็นที่สนใจมากขึ้นและท้าทายมากขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อในระยะสั้นส่วนใหญ่มาจากปัจจัยด้านอุปทาน และขับเคลื่อนโดยปัจจัยต่างประเทศ
ขณะที่พลวัตของเงินเฟ้อกำลังเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และกระแสโลกาภิวัตน์ ในอนาคตเงินเฟ้อก็ยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ และ Digitalization
แบงก์ชาติควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะสั้น กลาง หรือยาว?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจในระยะสั้น เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ตัวอย่างเช่น การใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ จะทำให้การปล่อยสินเชื่อเติบโต เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม การใช้ดอกเบี้ยต่ำนานเกินไปอาจสร้างความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นได้
ดังนั้น การชั่งน้ำหนักระหว่างการบรรลุเป้าหมายในปัจจุบันกับผลต่อเศรษฐกิจในอนาคต (Intertemporal Trade-Off) ในปัจจุบันมีความท้าทายขึ้น เนื่องจากระดับหนี้ในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทยอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ในอนาคตความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงินอาจเพิ่มขึ้นอีก โดยจากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาภาคการเงินไทยเติบโตขึ้น ทั้งตลาดทุน ภาคธนาคาร และนอกภาคธนาคาร และเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนเศรษฐกิจจริง (Real Sector) มากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ภาคการเงินประสบปัญหาก็อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงมากขึ้น
ตามข้อมูลจากเครดิตบูโร ประเทศไทย ยังระบุว่า คนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้นเรื่อยๆ และสัดส่วนของประชากรที่เป็นหนี้ในแต่ละช่วงอายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ทำให้ธนาคารกลางต้องให้ความสำคัญกับ Intertemporal Trade-Off เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แนวทางดำเนินโยบายของแบงก์ชาติท่ามกลางความท้าทายต่างๆ
นนท์และขวัญรวีสรุปว่า ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ พร้อมๆ กับการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน กรอบนโยบายที่เหมาะสมและพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบที่ไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าควรจะมีลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ การคิดให้รอบด้าน พร้อมกับมองเศรษฐกิจและนโยบายเป็นองค์รวมมากขึ้น, การมองภาพในระยะปานกลางเพิ่มขึ้น และการตอบสนองอย่างสมดุล และให้ความสำคัญกับการสร้างขีดความสามารถทางนโยบายเพิ่ม (Policy Buffer)
แบงก์ชาติควรใช้ ‘จิตนาการ’ และ ‘ความเป็นมนุษย์’ มากขึ้นในการคาดการณ์ต่างๆ
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชี้ให้เห็นว่า การมีโมเดลและข้อมูลที่ดีขึ้นอาจไม่สามารถจะช่วยแก้ปัญหาการประมาณการที่ผิดพลาดได้ โดยแนะว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาควรเริ่มจากการจัดคณะทำงาน โดยต้องมีบางคนคิดต่างหรือฉีกออกไปบ้าง เพื่อแก้ไขธรรมชาติของมนุษย์ที่พลาดไป
“ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งมีข้อมูลและโมเดลการคาดการณ์ที่สมบูรณ์แบบมากแล้ว แต่ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของ Fed ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากต้นปีถึงปลายปี ชี้ให้เห็นว่ามีบางอย่างกำลังผิดพลาด ส่วนหนึ่งอาจมาจากข้อมูลและโมเดล แต่ผมมองว่าอีกด้านหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ ธรรมชาติมนุษย์ (Human Nature)”
แบงก์ชาติควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายอันตรายแทนโฟกัสทุกจุด
นอกจากนี้ ดร.พชรพจน์ ยังแนะให้ธนาคารกลางหันมาให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่อันตรายเป็นพิเศษ แทนที่จะให้ความสำคัญกับเป้าหมายทุกประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้
“ถ้ายอมรับว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่เงินเฟ้อเริ่มกลับมามีความอันตรายและยากจะควบคุม การที่เรามีเป้าหมายหลายอย่างอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้
โดยจะเห็นได้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินเยอะ เช่น หนี้ครัวเรือน เป็นต้น จุดนี้จึงจะเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับธนาคารกลางมากไปหรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไป” ดร.พชรพจน์กล่าว
แบงก์ชาติควรยืดหยุ่น มีแผนสอง และมี Robust Policy
ขณะที่ ดร.ภูริชัย รุ่งเจริญกิจกุล Principal Economist Bank of International Settlements แนะว่า ธนาคารกลางควรมีความยืดหยุ่น มีแผนสองหากสถานการณ์ไม่ดำเนินไปตามที่คิด และสร้างนโยบายที่เหมาะสมสำหรับทุกสถานการณ์
ประเด็นแรก ผู้ดำเนินนโยบายควรปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือกรอบการดำเนินนโยบายที่มากเกินไป เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในระยะข้างหน้า พูดง่ายๆ คือ ถ้าเรามีอุปกรณ์จำกัดแต่ทุ่มลงไปหมดกับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้า อาจเปิดช่องให้เกิดความเสี่ยงด้านอื่นๆ ดังนั้น ความยืดหยุ่น (Flexibility) จึงมีความสำคัญ
ประเด็นที่ 2 ธนาคารกลางควรคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงแบบเป็นระบบมากขึ้น เพื่อวางกลยุทธ์นโยบายการเงินหรือนโยบายเศรษฐกิจทั่วไป โดยการไม่ยึดติดกับกรอบที่มองความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ และต้องทำ Stress Test ตลอดว่าจะเกิดอะไรถ้าเราคิดผิด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีแผนสอง ในกรณีที่รู้ว่าคิดผิด และแผนนั้นควรจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ควรมีการสื่อสารแผนสองกับเอกชนด้วย
ประเด็นที่ 3 ใน Decision Theory และ Game Theory มีสิ่งที่เรียกว่า Robust Policy ซึ่งผมเรียกว่านโยบายสะเทินน้ําสะเทินบก กล่าวคือ เป็นนโยบายที่เหมาะสมสำหรับทุกสถานการณ์ โดยถึงจะเกิดวิกฤตใดๆ นโยบายนี้อาจจะไม่ได้ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้เกิดสถานการณ์ที่แย่มากนัก
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP