ดัชนี IDX Composite ของ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ดิ่งหนัก หลังความกังวลต่อนโยบายประชานิยมของประธานาธิบดีปราโบโวเพิ่มสูงขึ้น
ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักในวันอังคาร (18 มีนาคม) เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนแอลง ในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมาตรการประชานิยมของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
ดัชนี IDX Composite ร่วงลงมากถึง 7.1% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงมากที่สุดระหว่างวันนับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2011 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องระงับการซื้อขายชั่วคราวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด
ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงสูงสุดถึง 0.5% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องแทรกแซงตลาดอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันค่าเงินจากการอ่อนค่ามากเกินไป ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลก็เผชิญกับแรงขายอย่างหนัก
นอกจากนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยิ่งทำให้ตลาดปรับตัวลดลงหนักขึ้น แม้ว่าทางรัฐบาลจะออกมาปฏิเสธในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากนโยบายของประธานาธิบดีปราโบโวที่ต้องการโอนงบประมาณไปยังโครงการที่เขาให้ความสำคัญ ส่งผลให้ตลาดรู้สึกไม่มั่นใจ
สถานการณ์นี้รุนแรงขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณที่เกิดขึ้นเร็วผิดปกติในช่วงต้นปี รวมถึงรายได้ของรัฐบาลที่ลดลงถึง 20% ซึ่งทำให้เกิดแรงขายที่รุนแรงในตลาดหุ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนที่ใช้มาร์จิ้น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นถูกระงับการซื้อขายชั่วคราวเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2020 โดยหยุดทำการซื้อขายเป็นเวลา 30 นาที หลังจากดัชนีร่วงลงเกิน 5%
หุ้นที่ถูกแรงขายมากที่สุดในวันนี้ ได้แก่ PT DCI Indonesia ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล, PT Bank Rakyat Indonesia ธนาคารรายใหญ่ของประเทศ
นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปรับตัวลดลงไปแล้ว 12.4% ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นอินโดนีเซียไปแล้วกว่า 1.65 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 5.6 หมื่นล้านบาท
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Goldman Sachs ได้ปรับลดน้ำหนักหุ้นอินโดนีเซียจาก Overweight เป็น Market Weight และลดคำแนะนำในการลงทุนพันธบัตรรัฐวิสาหกิจอินโดนีเซีย (Quasi-Sovereign Bonds) หลังจากก่อนหน้านี้เคยเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมสูง
ขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) ซึ่งจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในวันพุธนี้ นักลงทุนต่างรอคอยมาตรการที่อาจถูกนำมาใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์และกระตุ้นเศรษฐกิจ
อ้างอิง:
