ท่าทีของ ซาฟรี ซามโซดิน (Sjafie Sjamsoeddin) รัฐมนตรีกลาโหมอินโดนีเซียที่เปิดเผยเมื่อไม่นานนี้ ว่ากำลังสนใจพิจารณาจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ในตระกูล J-10 ของจีน จำนวน 42 ลำ สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิเคราะห์หลายฝ่าย เพราะประเทศนี้มีประวัติความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับปักกิ่ง โดยเฉพาะในประเด็นทะเลจีนใต้ แต่เบื้องหลังการเลือกครั้งนี้กลับสะท้อนทั้งเหตุผลทางยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น
จามโซเอ็ดดิน ให้สัมภาษณ์สื่อในช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยประกาศอย่างมั่นใจว่า เครื่องบินรบจีน “จะบินผ่านกรุงจาการ์ตาในเร็วๆ นี้” ก่อนที่จะเปลี่ยนท่าทีล่าสุด ว่ายังคงอยู่ในขั้นพิจารณาและยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ
การที่อินโดนีเซียในฐานะชาติที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ให้ความสนใจต่อเครื่องบินขับไล่จีน แทนที่จะเลือกเครื่องบินขับไล่ยอดนิยมจากชาติตะวันตก หรือชาติอื่นๆ ก่อให้เกิดคำถามสำคัญในหลายประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ การคลัง เทคนิค และการปฏิบัติการ
โดยความเคลื่อนไหวนี้กำลังสะท้อนว่าอินโดนีเซียวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงอย่างไร ในยุคที่มีการแบ่งขั้วอย่างรุนแรงของมหาอำนาจ
อินโดนีเซียต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่ J-10 รุ่นใด?
เครื่องบินขับไล่รุ่น J-10 เป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ชนิดเครื่องยนต์เดียว ที่ได้รับการพัฒนาครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1980 โดยได้รับความช่วยเหลือจากอิสราเอล และเริ่มผลิตในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก่อนจะเข้าประจำการในกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLAAF) ในช่วงต้นทศวรรษ 2000
โดยหลังจากมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ ระบบเรดาร์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เครื่องบิน J-10 จึงได้พัฒนาต่อมาเป็น 3 รุ่น ได้แก่ J-10A, J-10B และ J-10C โดยได้รับการยกย่องว่า เป็นคำตอบของจีนในการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ขึ้นมาเทียบเคียงเครื่องบินขับไล่ F-16 ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจ คืออินโดนีเซียอาจไม่ได้เล็งเครื่องบินขับไล่รุ่นล่าสุดอย่าง J-10C ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ยุค 4.5 ถึงแม้ว่ากำลังพยายามปรับปรุงกองทัพอากาศให้ทันสมัย และการซื้อเครื่องบินรุ่นล่าสุดถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ทันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่
โดยเว็บไซต์ Janes.com สื่อด้านกลาโหมและข่าวกรองความมั่นคงที่มีชื่อเสียง ระบุว่า “อินโดนีเซียต้องการซื้อเครื่องบิน J-10B ‘มือสอง’ จำนวน 42 ลำที่เคยประจำการในกองทัพอากาศกองทัพปลดปล่อยประชาชน และกำลังมองหาวงเงินสินเชื่อหรือเงินกู้มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับข้อตกลงในการจัดซื้อนี้ ซึ่งคาดว่าจีนจะเป็นผู้ให้เงินกู้
หากมองเผินๆ ก็ดูเหมือนว่าข้อตกลงนี้จะไม่ใช่ข้อตกลงที่ดีนัก เนื่องจากเครื่องบิน J-10B เป็นเครื่องบินยุคที่ 4 ซึ่งคงไม่อาจพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพอากาศอินโดนีเซียได้มากนัก
แต่เหตุผลแท้จริง อาจเป็นเพราะว่าอินโดนีเซียกำลังมองหาเครื่องบินขับไล่มาประจำการเพิ่มเติมเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้รับเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ที่สั่งซื้อจากเกาหลีใต้และตุรกี ซึ่งมีกำหนดส่งมอบในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษ 2030
ขณะที่อนาลโย กอสกุล นักสังเกตการณ์การทหารอิสระ บรรณาธิการเว็บไซต์รวมข้อมูลข่าวสารด้านอาวุธและกองทัพฉบับประชาชน thaiarmedforce.com ให้ความเห็นประเด็นนี้ว่า เหตุผลที่ทำให้อินโดนีเซียสนใจ J-10B มือสองนั้น อย่างหนึ่งคือเรื่อง ‘งบประมาณ’ เนื่องจากการจัดหาอาวุธของอินโดนีเซีย ส่วนมากจะเป็นการจัดหาที่ต้องใช้เงินกู้ และส่วนมากก็เป็นเงินกู้จากต่างชาติด้วย
“ที่ผ่านมา อินโดนีเซียก็มีหลายโปรเจกต์ในการจัดซื้ออาวุธที่ประสบปัญหา โดยบางโปรเจกต์นั้นเซ็นสัญญาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเงินจ่าย” เขากล่าว
ขณะที่แรงดึงดูดสำคัญ คือ ‘ราคา’ ของ J-10B มือสองที่ค่อนข้างถูกมาก เพียงประมาณ 40 ล้านดอลลาร์ต่อลำ หรือแค่ 30-40% ของราคาเครื่องบินขับไล่จากชาติตะวันตกอย่าง Gripen ของสวีเดน หรือ Rafale ของฝรั่งเศส
“สาเหตุที่ทำให้ J-10B มีราคาถูก เนื่องจากจีนสามารถผลิตทุกอย่างได้ในราคาที่ถูกกว่า และจีนกำลัง phase out รุ่นเก่า เพื่อเอา J-20 รุ่นใหม่เข้ามา ดังนั้นจีนจึงขายได้ และได้ทุนคืนมาด้วย” อนาลโยกล่าว
เขาชี้ว่า “ในทางกลับกัน อินโดนีเซีย ก็กำลังพยายามเพิ่มจำนวนเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศ โดยสิ่งที่ขาดคือจำนวน เพราะแต่ก่อนนั้น อินโดนีเซียมีแค่ F-16 มือสอง หรือ F-16 รุ่นเก่า แค่ประมาณ 20 กว่าลำ เครื่องบินรัสเซียที่มีอยู่ก็ 10 ลำนิดๆ และเมื่อเทียบกับความใหญ่ของประเทศอ่ะ จึงดูแลน่านฟ้าของประเทศไม่ได้”
นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าอีกปัจจัยที่ทำให้อินโดนีเซียหันมาให้ความสนใจต่อเครื่องบินขับไล่ของจีน เป็นเพราะกรณีเครื่องบินขับไล่ J-10C ของกองทัพปากีสถาน ยิงเครื่องบินขับไล่ Rafale ของกองทัพอินเดียระหว่างตกการต่อสู้ทางอากาศ ในช่วงเหตุขัดแย้งของทั้งสองประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
กรณีนี้ อนาลโยมองว่า ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจจากนานาชาติที่มีต่อเครื่องบินขับไล่ของจีนได้อย่างก้าวกระโดด เพราะที่ผ่านมา หลายประเทศอาจจะไม่ค่อยมั่นใจในเครื่องบินขับไล่จีน เนื่องจากสิ่งสำคัญคือ เครื่องบินขับไล่จีน ‘ไม่เคยออกรบจริง’ ซึ่งกรณีปากีสถานและอินเดีย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของเครื่องบินขับไล่จีน
จากประสบการณ์ถูกคว่ำบาตร สู่ยุทธศาสตร์ “กระจายความเสี่ยง”
อนาลโยให้ความเห็นว่า เหตุผลที่อินโดนีเซียสนใจซื้อเครื่องบินขับไล่จากจีน น่าจะมาจาก ‘บทเรียน’ ในอดีต
โดยช่วงทศวรรษ 1990 อินโดนีเซียเคยถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรจากกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในติมอร์ตะวันออก ซึ่งผลกระทบนั้นทำให้เครื่องบินขับไล่หลายลำของอินโดนีเซียที่สหรัฐฯ สร้างขึ้น ต้องจอดนิ่งในฐานทัพอากาศเนื่องจากขาดแคลนอะไหล่และแทบหมดศักยภาพในการซ่อมบำรุง
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็น ‘ตัวกระตุ้นเชิงยุทธศาสตร์’ ทำให้ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 อินโดนีเซียพยายาม ‘กระจายความเสี่ยง’ ด้วยการหลีกเลี่ยงการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งสำหรับยุทโธปกรณ์ โดยการกระจายแหล่งที่มาของการจัดซื้อ
อย่างไรก็ตาม นโยบายกระจายความเสี่ยงนี่ดูจะสุดโต่งมากขึ้นอีก โดยเฉพาะในยุคประธานาธิบดี ปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
สาเหตุที่บอกว่านโยบายของปราโบโว ดูจะสุดโต่ง เนื่องจากการจัดหาเครื่องบินขับไล่ในยุคของเขานั้น มาจากหลากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ตุรกี และรัสเซีย และปัจจุบันคือจีน
ในมุมหนึ่งการกระจายความเสี่ยง อาจถือว่าเป็นข้อดี ทั้งการช่วยเพิ่มความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ และการจัดหาเครื่องบินขับไล่ได้จำนวนมากๆ ยังทำให้กองทัพอากาศอินโดนีเซีย ก้าวไปสู่การเป็น Middle Power หรือประเทศอำนาจปานกลาง ที่มีความแข็งแกร่งด้านความมั่นคง
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็เกิดคำถามสำคัญ เพราะการเลือกซื้อเครื่องบินขับไล่จากแหล่งที่มาและผู้ผลิตต่างกัน ทำให้เป็นปัญหาเนื่องจากระบบของเครื่องบินขับไล่ที่แตกต่างกัน เช่นระบบสื่อสาร เครือข่ายเซ็นเซอร์ หรือระบบแชร์ข้อมูล Data Link
ซึ่งเครื่องบินขับไล่ของจีนและรัสเซียไม่สามารถทำงานร่วมกับเครื่องบินขับไล่ของชาติตะวันตกได้
นอกจากนี้ ยังทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ด้านโลจิสติกส์ การฝึกอบรม และการบำรุงรักษา สูงกว่าปกติด้วย
นอกจากเครื่องบินขับไล่ อินโดนีเซียยังจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่นเรือรบ หรือรถถัง ที่มาจากหลายประเทศและมีระบบแตกต่างกัน
อนาลโย ชี้ว่า เหตุผลที่อินโดนีเซียยอมแลกปัญหาความวุ่นวายและค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คือเพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเช่นในอดีต จากการพึ่งพาซัพพลายเออร์ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตาม อนาลโย กล่าวว่า “ปัญหาของระบบเครื่องบินขับไล่ที่แตกต่างกันถือเป็นปัญหาทางเทคนิค และสามารถหาหนทางลดความยุ่งยากได้ เช่น การแชร์ข้อมูลแบบ Datalink ระหว่างเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ และจีน ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นการพัฒนาระบบขึ้นมาเองในประเทศ และไปขออนุญาตติดตั้งจากประเทศผู้ขาย หรือใช้วิธีส่งข้อมูลลงมาที่ภาคพื้นดิน ก่อนจะส่งกลับไปยังเครื่องบินขับไล่อีกลำ ซึ่งอาจจะเป็นหนทางอ้อม”
ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์แล้ว ภูมิรัฐศาสตร์ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ
ที่ผ่านมา ปราโบโวได้ส่งสัญญาณว่า “อินโดนีเซียไม่ควรเลือกข้างในการแข่งขันของมหาอำนาจ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ และควรยึดหลัดสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับตะวันตกและตะวันออก”
อนาลโย มองว่า การที่อินโดนีเซียสนใจเครื่องบินขับไล่จากจีนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจ โดยนอกจากไม่ต้องการพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงประเทศเดียว เขาตั้งข้อสังเกตว่าเครื่องบินขับไล่ที่อินโดนีเซียจัดหานั้น มีลักษณะร่วมกันอย่างหนึ่ง คือเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ เทคโนโลยีและอุปกรณ์ส่วนมากหรือว่าแทบทั้งหมด ผลิตในประเทศผู้ผลิต เช่น เครื่องบินขับไล่ Rafale (ราฟาล) ของฝรั่งเศส หรือ KAAN (คาอัน) ของตุรกี
“ราฟาลนั้นชัดเจน เพราะอุปกรณ์ทุกอย่าง น็อตทุกตัว made in France ตุรกีก็เหมือนกัน ดังนั้นแปลว่าสามารถควบคุม Supply Chain ได้ทั้งหมดซึ่ง J10 ก็ทุกอย่าง Made in China หมด ดังนั้นก็จะ ไม่เกิดกรณีแบบไทย คือซื้อเรือดำน้ำ แต่เครื่องยนต์เยอรมันเขาไม่ขาย”
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือหากอินโดนีเซียซื้อเครื่องบินขับไล่จากจีน ซึ่งถือเป็นชาติแรกในอาเซียน (หากไม่นับกรณีเมียนมาที่ซื้อเครื่องบินขับไล่ JF-17 ซึ่งปากีสถานผลิตร่วมกับจีน) ในด้านหนึ่งยิ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอินโดนีเซียและจีน และชูอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอาเซียน
เนื่องจากแม้เครื่องบินขับไล่ J-10B จะไม่ใช่เครื่องบินขับไล่รุ่นล่าสุดของจีน แต่ก็เป็นเครื่องบินที่จีนทำตลาดส่งออกเยอะที่สุด และยังตามมาด้วยการสนับสนุน ทั้งการบำรุงรักษาที่ยาวนานถึง 30 ปี และอาจมีการจัดฝึกซ้อมรบร่วมกันเป็นบางครั้ง ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีระหว่างผู้ใช้กับผู้ขาย
ปัจจุบัน กองทัพอากาศอินโดนีเซีย ถือว่ามีแสนยานุภาพเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน และมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตอาจตีตื้นไทยที่เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ ซึ่งการเพิ่มจำนวนฝูงบินรบด้วยเครื่องบินขับไล่จากจีนหากเกิดขึ้นจริง ก็จะยิ่งส่งเสริมแสนยานุภาพของกองทัพอากาศอินโดนีเซียให้ขยายใหญ่มากขึ้นด้วย
ภาพ: Oriental Image via Reuters Connect
อ้างอิง:


