เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดัชนี Nifty 50 ของตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และเป็นการปรับตัวลงที่ยาวนานที่สุดในรอบ 29 ปี โดยดัชนี Nifty 50 ย่อตัวจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราว -14% ท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่ชะลอตัว การปรับลดการคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน และความกังวลในการใช้มาตรการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ รวมถึงการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Shares) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจน้อยลงโดยเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าปัจจัยลบเหล่านี้เป็นเพียงแรงกดดันในระยะสั้นเท่านั้น โดยในระยะยาวอินเดียยังคงได้เปรียบด้านโครงสร้างประชากร (Demographics) และมีศักยภาพในการปรับตัวท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกแยก เราจึงมองว่าการปรับฐานในตลาดหุ้นอินเดียขณะนี้เป็นโอกาสสำหรับการเข้าลงทุน โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังต่อไปนี้
เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ตัวเลข GDP ในไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2025 (เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2024) ขยายตัว +6.2%YoY เร่งตัวจาก +5.6%YoY ในไตรมาสก่อนหน้า (Q2FY2025) จากการฟื้นตัวในอุปสงค์ผู้บริโภค การเติบโตของการส่งออก และการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ขณะที่แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเร่งตัวขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร HDFC คาดว่า GDP จะโต +6.8% ในไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2025 (เดือนมกราคม-มีนาคม 2025) และคาดว่าจะเติบโตราว +6.5% ในปีงบประมาณ 2025 (เดือนเมษายน 2024-มีนาคม 2025) และ +6.6% ในปีงบประมาณ 2026 (เดือนเมษายน 2025-มีนาคม 2026) ปัจจัยหนุนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลง รวมถึงนโยบายลดภาษีและการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ที่เอื้อต่อการเติบโต ท่ามกลางความเสี่ยงสำคัญจากภายนอก อย่างเช่น การดำเนินนโยบายเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ
นโยบายการเงินและนโยบายการคลังยังคงหนุนเศรษฐกิจ
มีสัญญาณบ่งชี้ว่าธนาคารกลางอินเดีย (RBI) มีท่าทีผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น สังเกตได้จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 และคาดว่าจะลดอีก 0.25% ในเดือนเมษายน 2025 ตามรายงานของนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs และธนาคาร HDFC นอกจากนี้ RBI ยังได้ประกาศเติมสภาพคล่องในระบบธนาคารเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมทั้งปรับมาตรการควบคุมความเสี่ยงทางการเงิน (Macroprudential Measures) ให้ผ่อนปรนมากขึ้น โดยผ่อนคลายหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อในกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (Non-banking Financial Companies) และไมโครไฟแนนซ์ (Microfinance)
ในส่วนของนโยบายการคลังรัฐบาลอินเดียอยู่ระหว่างพิจารณาลดอัตราภาษีสินค้าและบริการ (GST) หลังประกาศมาตรการลดภาษีครั้งใหญ่ มูลค่าราว 1 ล้านล้านรูปี (1.15 หมื่นล้านดอลลาร์) ภายใต้แผนงบประมาณประจำปี 2025-2026 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของชนชั้นกลางในประเทศ
การปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนเริ่มชะลอลง
จากรายงานของ LGT Wealth India การคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earnings Expectations) ได้ถูกปรับลดลงจากระดับสูงสุดในช่วงการเลือกตั้งทั่วไป (General Elections) ในปี 2024 โดยการคาดการณ์กำไรรวมของดัชนีโดยรวมถูกปรับลดลง 10% ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงราว 10-13% จากจุดสูงสุด บริษัทจดทะเบียนอินเดียจึงมีแนวโน้มที่จะให้แนวโน้มผลประกอบการ (Guidance) อย่างระมัดระวังในไตรมาสปัจจุบัน ขณะที่เราเห็นการปรับลดประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มชะลอลง และคาดว่าหากเศรษฐกิจอินเดียมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะช่วยหนุนให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทรงตัวมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นอินเดียในระยะถัดไป นอกจากนี้ถึงแม้ว่ากลุ่มนักวิเคราะห์ (Consensus) จะมีการปรับลดการคาดการณ์ผลประกอบการลง แต่บริษัทจดทะเบียนในดัชนี MSCI India ยังคงมีการคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้นที่สูงถึง 14% และ 15% ในปีปฏิทิน 2025 และ 2026 ตามลำดับ
Valuation เริ่มผ่อนคลาย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยดึงดูดการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย
อ้างอิงบทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ณ วันที่ 7 มีนาคม 2025 ดัชนี MSCI India ซื้อขายที่ระดับ 12-Month Forward P/E ที่ 20.8 เท่า คิดเป็น +0.5 S.D. เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ซึ่งปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ +2.4 S.D. ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2024 สะท้อนให้เห็นว่าความตึงตัวของมูลค่าหุ้นอินเดียได้ผ่อนคลายลงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีมากขึ้น และเป็นปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจยิ่งขึ้น
อินเดียไม่ใช่เป้าหมายหลักของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
แม้ว่าสหรัฐฯ อาจใช้มาตรการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับสินค้านำเข้าจากอินเดียได้ เนื่องจากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้าจากอินเดียในอัตรา 2.4% ขณะที่อินเดียเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ถึง 18% แต่โดยภาพรวมแล้ว อินเดียไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักของการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ เหมือน ‘จีน’ ซึ่งมีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 5.4 แสนล้านดอลลาร์ (17% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ) เทียบกับอินเดียที่มีมูลค่าส่งออกเพียง 8.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (3% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ)
ทั้งนี้ อินเดียอาจจำเป็นต้องปรับลดกำแพงภาษีบางส่วนในภาคยานยนต์ ภาคเกษตรกรรมบางประเภท และภาคสิ่งทอ เพื่อลดความตึงเครียดทางการค้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้แสดงความมุ่งมั่นในการรับมือกับมาตรการดังกล่าวอย่างเต็มที่ด้วยการพบปะกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงประกาศข้อตกลงในการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ มากขึ้น ตลอดจนอาวุธและอุปกรณ์ทางทหาร เพื่อช่วยจำกัดการเกินดุลการค้า และอาจช่วยลดผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ ได้อีกทางหนึ่ง
โดยสรุปเรามองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นอินเดียในปัจจุบันคือโอกาสในการเข้าลงทุน และเชื่อมั่นว่าตลาดสามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจอินเดียที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะเดียวกันเรายังเห็นสัญญาณว่าการปรับลดประมาณการกำไรเริ่มชะลอตัวลง นโยบายการเงินและนโยบายการคลังยังคงกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงความตึงตัวของมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ผ่อนคลายลง ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่วนประเด็นความเสี่ยงสงครามการค้า เรามองว่าอินเดียไม่ใช่เป้าหมายหลักของมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการเจรจาของนายกรัฐมนตรีโมดีอาจช่วยลดผลกระทบจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ
ภาพ: Rasi Bhadramani / Getty Images