×

ตลาดหุ้น ‘อินเดีย’ ความร้อนแรงที่ใครๆ ก็หมายปอง?

26.03.2024
  • LOADING...
ตลาดหุ้น อินเดีย

มีคนอ่านจำนวนมากถามผมว่า จะกระจายการลงทุนในตลาดไหนดี หลังจากที่เห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ วิ่งไปไม่รอเลย อะไรจะเกิดขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อไป 

 

วันนี้ผมมีความลับของตลาดหุ้นผ่านข้อมูลสถิติ 90 ปี เกิดอะไรขึ้นเมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ เปลี่ยนทิศมาบอกครับ

 

จากสถิติของ CME FedWatch Tool บอกว่า มีโอกาสเกิน 50% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้!

 

ซึ่งหลังจาก Fed ลดดอกเบี้ยก็มีโอกาสสูงที่เงินกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่เคยไหลเข้าตลาดเงินอย่างพันธบัตร ตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมา จะวิ่งไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นครับ

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง 

 

ข้อมูลจาก Schroder Investment Management ที่เก็บรวบรวมมาตั้งแต่ปี 2471 จนถึงช่วงปี 2562 พบว่า เมื่อ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย หลังจากนั้น 12 เดือน มีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับตัวสู่ขาขึ้นมากกว่าปรับลดลงครับ โดยเฉลี่ยทำกำไร 11% บางครั้งก็ขึ้นสูงกว่านั้นเยอะครับ และเคยปรับตัวขึ้นถึง +82% 

 

จริงๆ เราก็บอกไม่ได้แน่นอนครับว่า ถ้า Fed ปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมิถุนายนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น แต่ถ้าดูจากสถิติก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นจะพุ่ง ส่วนจะพุ่งไปมากน้อยแค่ไหนก็ต้องรอดูกันอีกที ดังนั้นถ้าคุณลงทุนก่อนตอนนี้ โอกาสทำกำไรก็มีมากกว่าครับ

 

ผมเชื่อว่าคุณเห็นด้วยว่าการลดดอกเบี้ยของ Fed ส่งผลดีกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใช่ไหมครับ

 

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การลดดอกเบี้ยของ Fed ยังเป็นผลดีกับตลาดหุ้นอื่นๆ อีกด้วย

 

จากข้อมูลของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนทางเลือก (The Chartered Alternative Investment Analyst: CAIA) ซึ่งได้ทำวิจัยเกี่ยวกับค่าสหสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ด้วยชุดข้อมูลตั้งแต่ช่วงปี 2533-2564 พบว่า ตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ มีค่าสหสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) นั้น หากตัวเลขยิ่งเข้าใกล้ 1 มากเท่าไร แสดงว่ามีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันมากเท่านั้น ซึ่งตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีค่าอยู่ที่ 0.03 ตลาดหุ้นยุโรปมีค่าอยู่ที่ 0.45 และตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ มีค่าอยู่ที่ 0.27

 

แสดงว่าถ้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับไปในทิศทางบวก ก็มีแนวโน้มที่ตลาดหุ้นอื่นๆ จะบวกไปด้วยนั่นเองครับ และหนึ่งในตลาดหุ้นที่สัมพันธ์ไปกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมานานนับสิบปีทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการกันและกัน เพื่อคานอำนาจการขยายอิทธิพลของจีน เรียกว่า Win-Win ทั้งคู่

 

ช่วงปีทองของอินเดีย ตลาดแห่งความหวังเศรษฐกิจ-ตลาดหุ้น ‘ขาขึ้น’

 

มาส่องดูตลาดหุ้นอินเดียปีที่แล้วกันครับ 

 

ปี 2566 ตลาดหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทนมากถึง 19-20% เรียกว่าแรงเกินคาดทีเดียวเลยครับ เป็นตลาดม้ามืดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่ทำเอานักลงทุนจำนวนมากต่างตกขบวนรถไฟพลาดโอกาสทำกำไรกันไป 

 

ตลาดหุ้นอินเดียมาแรงแซงโค้งในช่วงหลายปีนี้ ที่สำคัญคือวิ่งมาเหนือตลาดหุ้นจีนที่ติดหล่มมรสุมวิกฤตอสังหาถล่มอยู่ กดดันหุ้นไหลรูดสู่ก้นกระทะมา 4-5 ปีแล้ว

 

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมจู่ๆ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย’ ถึงได้ Outperform ขนาดนี้หรือครับ และลงทุนตอนนี้แพงไปไหม ตลาดหุ้นจะไปต่อได้อีกไกลแค่ไหน? ผมจะเล่าข้อมูลที่น่าสนใจให้ฟังอย่างนี้ครับ

 

ปัจจัยหลักที่ทำให้ ‘ตลาดหุ้นอินเดีย Outperform’ แบบตรงไปตรงมาก็คือ

 

  1. เศรษฐกิจอินเดียเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยธนาคารกลางอินเดียได้คาดการณ์ว่าปี 2566-2567 จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ระดับ 7% ขณะที่หน่วยงานวิจัยต่างๆ ก็คาดการณ์ GDP ระดับ 6.7-7% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศขยายตัวสูงทั้งภาคการบริโภค ภาคการผลิต และภาคการลงทุนทั้งรัฐและเอกชน

 

IMF คาดการณ์ปี 2567 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตได้ระดับ 6.5% ซึ่งก็ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง ส่วน OECD คาดการณ์ปี 2567-2568 GDP เติบโต 6.1% และ 6.5% ตามลำดับ ต้องบอกว่าเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและแซงหน้าจีนไปแล้ว

 

ปัจจุบันอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น และเยอรมนีเท่านั้น การเติบโตของอินเดียมีแรงขับเคลื่อนมาจากภายในประเทศเป็นสำคัญ ทั้งจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ด้วยจำนวนประชากรที่มากถึง 1,400 กว่าคน แซงหน้าจีนแล้วเช่นกัน และเป็นคนหนุ่มสาววัยทำงานอายุเฉลี่ย 28 ปี ถือว่ายังมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปได้อีกมากในอนาคต ด้วยตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและประชากรคุณภาพดีขึ้นในอนาคต และนี่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งให้เศรษฐกิจอินเดียสามารถเติบโตได้สูงและรวดเร็ว

 

  1. รัฐบาลชูแผนพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ Atmanirbhar Bharat ด้วยเป้าหมายเป็นนิวอินเดีย ‘อินเดียที่พึ่งพาตนเอง’ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมุ่งสนับสนุนการลงทุนในประเทศอย่างมาก เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างมาก แต่นำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจค่อนข้างยาก เพราะโครงสร้างพื้นฐานในประเทศยังมีไม่มาก จึงเห็นรัฐบาลเลือกใช้งบประมาณส่วนใหญ่ หรือ 50% ของงบประมาณรวม มาใช้ลงทุนถนน ทางด่วน ทางรถไฟ และรัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศค่อนข้างมาก 

 

เม็ดเงินที่ลงไปตอนนี้เริ่มออกดอกออกผลแล้ว ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศที่ได้รับการจัดอันดับ Logistics Index ดีขึ้น 6 อันดับ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอินเดียมีต้นทุนโลจิสติกส์ 13% ของ GDP ปัจจุบันได้ลดมาอยู่ที่ระดับ 9% ถือว่าแข่งขันกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ และประเภทของการสนับสนุนการลงทุนในประเทศก็ทำให้สามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศได้ ล่าสุดอินเดียเป็นผู้ผลิตและส่งออกโทรศัพท์มือถืออันดับ 2 ของโลกแล้ว

 

อินเดียมีแผนพัฒนาที่สำคัญอย่าง Bharatmala Project ส่งเสริมด้านโลจิสติกส์ภายในประเทศ Saubhagya Project เพื่อให้คนอินเดียทุกครัวเรือนจะต้องมีไฟฟ้าใช้ สามารถเข้าถึงและใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อหาความรู้และทำธุรกรรมออนไลน์ โดยมีเป้าหมายก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัล

 

  1. แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนทำกำไรได้ดีมาก โดยเฉพาะปี 2566 บริษัทในตลาดหุ้นอินเดียทำกำไรเพิ่มขึ้น 17% หากเทียบกับประเทศอื่นอย่างสหรัฐฯ ที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมไม่โตเลย ส่วนประเทศอื่นๆ ในเอเชียติดลบกันหมดยกเว้นญี่ปุ่นที่กำไรโต 20%

 

  1. ตลาดหุ้นอินเดียตอนนี้แพงไปไหม ถ้าคุณดู Valuation ของตลาดหุ้นอินเดีย สะท้อนผ่าน P/E ของตลาดหุ้นอินเดียที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 24.99 เท่า ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม Emerging Market ก็เรียกว่าตลาดหุ้นอินเดียแพงกว่า แต่อาจจะสมเหตุสมผลหากมองศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไร (Earning) ในระยะข้างหน้า ในช่วง 5 ปี Forward P/E ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 19.6 เท่า ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ตลาดหุ้นอินเดียไปต่อได้ อย่างน้อยในปี 2567 และปี 2568 คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนโต 17% และ 14-15% ตามลำดับ ผมยังมองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในอินเดียค่อนข้างจะดีกว่าหลายๆ ประเทศในเอเชีย

 

  1. อินเดียกำลังก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ถูกคาดการณ์ว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 เกิดขึ้นจากตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดียที่เฟื่องฟู และคาดการณ์ว่าตลาดนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 74.8 พันล้านดอลลาร์ หลังจาก 5 ปีที่ผ่านมาอินเดียมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอีก 480 ล้านคน ทำให้ได้เห็นประเทศนี้เปลี่ยนแปลงสู่กระแสดิจิทัลอย่างรวดเร็ว และอาจนำมาสู่ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และโอกาสการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น EdTech, FinTech และ e-Commerce ส่วนด้านอุตสาหกรรมการผลิตมีการเปลี่ยนเข้าสู่ดิจิทัลเช่นกัน ช่วยเพิ่มพูนความสามารถระดับท้องถิ่น และเชื่อมโยงผู้ผลิตกับพันธมิตรระดับโลก เมื่อมีความต้องการค้นหาทางเลือกอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทาน การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลยังได้นำโอกาสมากมายมาสู่อุตสาหกรรมต่างๆ และเปิดรับโอกาสจากตลาดออนไลน์ ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า และที่สำคัญคือเป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่เพื่อมุ่งสู่การเติบโต

 

อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีลักษณะของความหลากหลายมากที่สุดของเอเชีย ด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ มีแหล่งรายได้ที่กระจายอยู่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งได้สร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการคัดเลือกหุ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน กลุ่มเทคโนโลยีและ AI ส่วนภาคเศรษฐกิจเก่าอย่างอสังหาริมทรัพย์ก็กลับมาฟื้นตัวจากดีมานด์คนซื้อบ้านที่ง่ายดายขึ้นมาก ส่งผลต่อเนื่องในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างธนาคาร ก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ ให้เติบโตได้อีกครั้ง

 

  1. นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปีที่แล้วมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติกว่า 30% ของมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) และปีนี้มีแนวโน้มเงินทุนไหลเข้าเพิ่มมากขึ้น จากที่ถูกหมายมั่นว่าเศรษฐกิจจะเติบโตร้อนแรงในปีนี้ ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียเป็นอีกตลาดแห่งความหวังของนักลงทุนทั่วโลก ปัจจุบันนักลงทุนชาวอินเดียที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวลานี้ยังมีน้อยมาก ขณะที่จำนวนคนที่เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารมีสัดส่วน 80% จากอดีตปี 2551 ที่มีสัดส่วนเพียง 17% ของประชากรทั้งหมด สะท้อนว่าคนอินเดียเข้าถึงระบบการเงินเพิ่มขึ้นมาก ผมมองว่าในอนาคตตลาดหุ้นอินเดียจะมีกองทัพนักลงทุนหน้าใหม่ชาวอินเดียทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นจะใหญ่ขึ้นแค่ไหนก็ยากที่จะประเมินในตอนนี้ครับ

 

ติดอาวุธลงทุน DCA ฝ่าหุ้นขึ้นๆ ลงๆ พิชิตผลตอบแทน

 

ถ้าพูดถึงความเสี่ยงของอินเดีย หนีไม่พ้นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ‘ค่าเงินรูปี’ ซึ่งอินเดียมีความอ่อนไหวกับเงินเฟ้อ โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน เนื่องจากมีการนำเข้าน้ำมันสูง ในเวลาที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจะเกิดการขาดดุลการค้าสูง และค่าเงินรูปีจะอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอินเดียมีทุนสำรองเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐสูงเป็นอันดับ 6 ของโลก ส่วนการนำเข้าน้ำมันได้มีทำดีลกับรัสเซียเพื่อให้ได้ราคาขายที่มีส่วนลด จึงลดปัญหาราคาน้ำมันลงได้ แม้ภาพตอนนี้ดูเหมือนมีการบริหารความเสี่ยงได้ แต่ก็ต้องบอกว่ายังมีความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าเช่นกัน 

 

และอีกประเด็นความเสี่ยงคือ อินเดียจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งอาจทำให้ตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้น อาจมีแรงขายทำกำไรหรือเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เพราะโลกนี้ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้ครับ

 

สำหรับตลาดหุ้นอินเดีย โอกาสมาพร้อมกับความเสี่ยง โดยประเทศอินเดียยังมีสตอรีการเติบโตในระยะยาวค่อนข้างมาก แต่ความเสี่ยงในระยะสั้นก็เกิดขึ้นไม่น้อยครับ อีกส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีข้อมูลที่เปิดเผยยังไม่ค่อยมากด้วยครับ ยังเป็นตลาดที่ใครจะลงทุนก็ต้องศึกษาอย่างละเอียด ทำการบ้านเชิงลึกมากๆ เพื่อให้มีข้อมูลเชิงลึกที่แน่นจริง ถูกต้องจริงครับ

 

เพราะต้องยอมรับว่า ในยามที่ตลาดกำลังตื่นเต้นกับจังหวะขาขึ้นของหุ้นอินเดีย อาจเจอกับน้ำผึ้งอาบยาพิษ หากไม่ระวังเราอาจกำลังตวัดยาพิษเข้าปากอยู่ก็ได้นะครับ ทางที่ดีควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญจะดีกว่าครับ

 

หรือหากคุณสนใจอยากลงทุนหุ้นอินเดียผ่านกองทุนส่วนบุคคล ก็สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลของ Thematic ธีมตลาดหุ้นอินเดียได้ครับ เพราะเป็นการลงทุนผ่านกองทุน iShares MSCI India ETF ซึ่งผลตอบแทนเป็นบวกตลอด เช่น 3 เดือน +9.53% ถ้า 1 ปีย้อนหลัง +17.09%, 3 ปี +32.37% และ 5 ปี +60.25% โดยหุ้นที่กองทุนนี้ลงทุนติดอันดับต้นๆ เช่น Reliance Industries, Infosys, ICICI Bank, HDFC Bank, Tata Consultancy Services เป็นต้น

 

แต่หากถามผม ในฐานะนักลงทุนแนว VI ผมยังคงยึดหลักการลงทุนในหุ้นดีราคาถูกอยู่ครับ ดังนั้นหากคุณใจเย็นพอและรอได้ ผมก็อยากแนะนำว่าให้รออีกสักนิด สักปีหน้าเราอาจได้เห็นภาพที่เคลียร์คัตชัดเจนมากกว่านี้ แต่หากคุณกลัวตกเทรนด์ตลาดหุ้นเกิดใหม่จริงๆ จะลองแบ่งเงินกระจายไปลงทุนใน ‘อินเดีย’ บ้างเพื่อเสริมโมเมนตัมให้พอร์ตก็ได้ครับ แต่กลยุทธ์ที่เหมาะสมนั้นผมอยากให้คุณมองให้เป็นการลงทุนระยะยาว กำหนดสัดส่วนการลงทุนที่ชัดเจนอย่างมีวินัย และทยอยสะสมด้วยการ DCA หรือลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ที่จะเป็นเครื่องมือช่วยลดความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วยให้คุณได้สินทรัพย์ที่ดีในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป นี่เป็นสิ่งที่คาดหวังได้จริงในการลงทุนระยะยาว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising