อินเดียประกาศมาตรการตอบโต้ปากีสถานอย่างรุนแรง หลังเกิดเหตุกราดยิงในเมืองพาฮัลแกม แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่แคชเมียร์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (22 เมษายน) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน โดยในจำนวนนี้เป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาลอีก 1 คน ขณะที่มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน
หนึ่งวันหลังเกิดเหตุ รัฐบาลอินเดียได้สั่งปิดด่านชายแดนหลักที่เชื่อมต่อกับปากีสถาน ระงับสนธิสัญญาน้ำของแม่น้ำสินธุ (Indus Water Treaty) ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1960 และเป็นหนึ่งในสนธิสัญญาที่คงอยู่มายาวนานที่สุดระหว่างสองประเทศ
สนธิสัญญาฉบับนี้กำหนดให้อินเดียมีสิทธิใช้น้ำจากแม่น้ำสายตะวันออกของระบบแม่น้ำสินธุ ส่วนปากีสถานมีสิทธิใช้น้ำจากแม่น้ำสายตะวันตก โดยอินเดียต้องปล่อยน้ำลงสู่ปากีสถานอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในกรณีที่ระบุไว้โดยเฉพาะ การประกาศระงับสนธิสัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาณชัดเจนถึงความตึงเครียดที่กำลังพุ่งสูง
นอกจากนี้ทางการอินเดียยังสั่งขับนักการทูตและที่ปรึกษาทางทหารของปากีสถานออกจากประเทศ และออกคำสั่งให้ผู้ถือวีซ่าชาวปากีสถานบางส่วนเดินทางออกนอกประเทศภายใน 48 ชั่วโมง
นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย แถลงผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำอันโหดร้ายนี้จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษตามกฎหมาย ความมุ่งมั่นของเราในการต่อต้านการก่อการร้ายจะไม่มีวันสั่นคลอน และจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”
อินเดียยังส่งสัญญาณชัดเจนโดยเชื่อว่าปากีสถานมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันโดยตรง แต่รัฐบาลอินเดียได้กล่าวหารัฐบาลปากีสถานมาโดยตลอดว่าให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาคแคชเมียร์ ซึ่งปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ด้านกลุ่มติดอาวุธที่ใช้ชื่อว่า The Resistance Front (TRF) ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่าไม่พอใจต่อการย้ายถิ่นฐานของ ‘คนนอก’ กว่า 85,000 คนเข้ามาในแคชเมียร์ ซึ่งกลุ่มนี้เห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร พร้อมระบุว่าผู้ที่ถูกโจมตี ‘ไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดา’ แต่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานความมั่นคงของอินเดีย
เหตุการณ์นี้กลายเป็นบทท้าทายครั้งใหญ่สำหรับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโมดี ซึ่งเคยกล่าวอ้างว่าภูมิภาคนี้กลับสู่ภาวะ ‘ปกติ’ หลังเพิกถอนสถานะกึ่งปกครองตนเองของแคชเมียร์ในปี 2019 และจำกัดเสรีภาพพลเมืองและสื่ออย่างเข้มงวด พร้อมทั้งผลักดันการท่องเที่ยวอย่างหนักในพื้นที่
อาไจ ซาห์นี ผู้อำนวยการบริหารของ South Asia Terrorism Portal ที่เป็นแพลตฟอร์มติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์ความรุนแรงในภูมิภาคเอเชียใต้ ระบุว่า “การกำจัดกลุ่มติดอาวุธในแคชเมียร์ให้หมดไป เป็นเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีทางออกทางการเมืองภายในรัฐ” พร้อมชี้ว่า “การสร้างภาพว่าทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติกลับกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการโจมตีมากขึ้น เพราะความเป็นจริงแล้วไม่มีความปกติใด ๆ ในแคชเมียร์เลย”
ด้าน เชห์บาซ ชารีฟ นายกรัฐมนตรีปากีสถาน ได้เรียกประชุมคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อตอบโต้มาตรการของอินเดีย ขณะที่ อิช-ฮาก ดาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของปากีสถาน โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่าปากีสถานรู้สึก “กังวลต่อการสูญเสียชีวิตของนักท่องเที่ยว” และ “ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต รวมถึงขอให้ผู้บาดเจ็บหายดีโดยเร็ว”
หลังเหตุโจมตี นักท่องเที่ยวจำนวนมากได้เริ่มหลบหนีออกจากพื้นที่อย่างตื่นตระหนก โมโนจิต เด็บนาถ นักท่องเที่ยวจากเมืองโกลกาตา กล่าวกับสื่ออินเดียว่า แม้แคชเมียร์จะสวยงามเพียงใด แต่เขาและครอบครัวไม่รู้สึกปลอดภัยอีกต่อไป
เหตุการณ์ในเมืองพาฮัลแกมถือเป็นหนึ่งในเหตุโจมตีที่รุนแรงที่สุดในแคชเมียร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับปากีสถานซึ่งเป็นคู่ปรับที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ยิ่งตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
ภาพ: Stringer / Reuters
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/articles/ce8g2njm2d2o
- https://www.aljazeera.com/news/2025/4/23/india-downgrades-pakistan-ties-after-attack-on-kashmir-tourists