วันนี้ (6 มิถุนายน) อินเดียกล่าวคัดค้านการใช้พาสปอร์ตวัคซีนโควิด-19 ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขของกลุ่มประเทศ G7 ซึ่งในปีนี้อินเดียเข้าร่วมในฐานะแขกรับเชิญ โดยระบุว่า การใช้พาสปอร์ตวัคซีนอาจก่อให้เกิดการแบ่งแยกครั้งใหญ่
“ขณะที่การระบาดใหญ่ดำเนินมาถึงจุดนี้ เราจำเป็นต้องหารือถึงความกังวลของอินเดียเกี่ยวกับพาสปอร์ตวัคซีน เมื่อพิจารณาถึงอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งประเด็นเกี่ยวกับการเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียมในราคาย่อมเยา รวมถึงปัญหาด้านปริมาณและการจัดสรรวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งล้วนยังไม่ได้รับการแก้ไข อินเดียมีความเห็นว่าการใช้งานพาสปอร์ตวัคซีนจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกและส่งผลเสียใหญ่หลวงต่อประเทศกำลังพัฒนา” หรรษ วรรธน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอินเดีย กล่าว
วรรธนยังกล่าวด้วยว่า อินเดียแนะนำว่าควรดำเนินการอย่างเหมาะสมโดยพิจารณาจากหลักฐานใหม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน ภายใต้การประสานงานอย่างครอบคลุมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยให้ความสำคัญกับปัญหาการเข้าถึงวัคซีนในราคาย่อมเยา ซึ่งปรากฏในปัจจุบัน
นอกจากนี้วรรธนยังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับปริมาณวัคซีนและอัตราการฉีดต่ำในประเทศกำลังพัฒนา ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุข ซึ่งจัดขึ้นทางออนไลน์
ทั้งนี้ อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ประชากรทั้งประเทศที่มีทั้งหมดกว่า 1.3 พันล้านคนจนครบได้ โดยอินเดียจัดการฉีดวัคซีนแล้ว 227,860,317 โดส (นับจนถึงเมื่อวานนี้ (5 มิถุนายน))
วรรธนระบุว่า เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์การระบาดใหญ่ในปัจจุบัน อินเดียจำเป็นต้องยกระดับการผลิตวัคซีน และทำให้มั่นใจว่ามีวัคซีนในปริมาณเพียงพอและเสมอภาค
“อินเดียเป็นผู้ผลิตวัคซีนเกือบร้อยละ 60 ของปริมาณวัคซีนที่มีทั้งหมด และอินเดียมีความเชี่ยวชาญสูง จึงเหมาะสมที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพและอุปทานวัคซีนทั่วโลก” วรรธนกล่าวในที่สุด
อ้างอิง:
- สำนักข่าวซินหัว
