IMF ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยและโลกในปีนี้ แต่เตือนยังมีความเสี่ยงขาลงอีกมาก โดยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนทางการค้า และความเสี่ยงด้านลบจากภาษีที่สูงขึ้น (potentially higher tariff) ยังเป็นความเสี่ยงหลัก
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (The World Economic Outlook: WEO) ฉบับเดือนกรกฎาคม 2025 โดย IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยคาดจะขยายตัว 2.0% ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าโตเพียง 1.8% จากที่ประมาณการไว้ในเดือนเมษายน
ขณะที่การเติบโตในปี 2026 ทาง IMF มองว่า เศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโตชะลอลงเหลือเพียง 1.7% ถึงแม้อย่างนั้นก็ยังเป็นระดับที่เพิ่มขึ้นมาจากประมาณการครั้งก่อนที่ 1.6%
ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจไทยของ IMF นับว่าสูงกว่าที่ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ประเมินไว้ ตามรายงานที่เพิ่งเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม โดยสถาบันทั้งสองแห่งมองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตเพียง 1.8% เท่านั้น แต่ยังต่ำกว่าประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตที่ 2.2% และต่ำกว่าประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าจะ โต 2.3% ในปีนี้
โดยเศรษฐกิจของไทยยังถือว่าเติบโต ‘ต่ำกว่า’ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก และค่าเฉลี่ยกลุ่มเศรษฐกิจ ASEAN-5 ซึ่งประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ซึ่ง IMF คาดการณ์ไว้ว่ากลุ่ม ASEAN-5 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 4.1% ทั้งในปี 2025 และ 2026
เศรษฐกิจโลกยังมีทิศทางขาลง แต่อาจดีขึ้นหากหลายชาติ ดีลภาษีกับสหรัฐฯ ลงตัว
ขณะที่ประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025 มีการปรับขึ้นแตะระดับ 3.0% เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 2.8% และปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจในปี 2026 เล็กน้อยเป็น 3.1% จากเดิมที่ 3.0%
ซึ่งการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ IMF ชี้ว่า เป็นผลสะท้อนจากการเร่งส่งสินค้า (Front-Loading) ไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงอัตราภาษีที่จะสูงขึ้นในภายหลังนั้นมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ พร้อมกับที่อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยปรับตัวต่ำกว่าระดับในรายงานฉบับก่อนเมื่อเดือนเมษายน
อย่างไรก็ตาม IMF มองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงขาลง เช่นเดียวกับที่ประเมินไว้ครั้งก่อน เนื่องจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจสูงขึ้นอีกครั้ง ซึ่งจะกดดันการค้าโลกได้อีก รวมถึงความไม่แน่นอนทางการค้าสำหรับประเทศซึ่งยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ได้
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุด และราคาน้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ พุ่งสูง ขณะที่ประเทศต่างๆ ขาดดุลงบประมาณกันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยในระยะยาวอยู่ในระดับสูง จนกดดันภาวะการเงินโลก
ขณะเดียวกัน IMF ชี้ว่า หากประเทศส่วนใหญ่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ จนได้กรอบที่ชัดเจน รวมถึงมีอัตราภาษีที่ลดลง ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก
ไม่เพียงเท่านั้น IMF ยังให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอีกด้วยว่า ภาครัฐมีความจำเป็นต้องลดความตึงเครียดการค้า คอยควบคุมเงินเฟ้อ ดูแลระบบการเงินไม่ให้ผันผวนจนเกินไป และฟื้นฟูพื้นที่การคลัง รวมถึงปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำเป็น