เปิดรายงาน Article IV IMF เตือน ‘เศรษฐกิจไทย’ ไม่แน่นอนสูง มองแบงก์ชาติ ‘ลดดอกเบี้ย’ ได้อีก เพื่อหนุนอุปสงค์ในประเทศ หลังเงินเฟ้อติดลบ ฝากถึงรัฐบาลไทย ‘เลี่ยงเพิ่มเพดานหนี้’ เร่งหารายได้เข้ารัฐ ย้ำไทยจำเป็นต้องมี ‘การปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน’
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลงเหลือ 2.1% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น พร้อมเตือนในระยะข้างหน้า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงด้านลบอยู่
“เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนานและผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นระยะหนึ่ง ความเปราะบางเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากปัจจัยใหม่ อาทิ ผลกระทบจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ แม้จะปรับลดลงจากที่ประกาศไว้ในเบื้องต้นที่ 36% เป็น 19% ก็ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ” IMF ระบุ
การประเมินเศรษฐกิจไทยครั้งนี้ เป็นการประเมินประจำปี 2568 ตามพันธะผูกพันข้อ 4 (Article IV) ระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568
นอกจากนี้ IMF ยังคาดว่า สภาวะการเงินที่ตึงตัวจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ -0.1% ในปี 2568 และ 0.4% ในปี 2569 ก่อนจะทยอยปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1 – 3% ได้ภายในปี 2570
IMF เปิดแนวโน้มความเสี่ยงด้านลบ
IMF ระบุต่อว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง โดยมีแนวโน้มความเสี่ยงด้านลบดังนี้
- ประการแรก: ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อคาดการณ์และระดับราคาในระยะต่อไป
- ประการที่ 2: ความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ความเสี่ยงทางการเงินในประเทศรุนแรงขึ้น
- ประการที่ 3: ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้นและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดด้านการค้าโลกเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยสูงกว่าที่คาดการณ์ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลงได้เร็ว
เตือนรัฐบาลเลี่ยงเพิ่มเพดานหนี้ เร่งหารายได้เข้ารัฐ
IMF ระบุต่อว่า เมื่อพิจารณาถึงอุปสรรคที่มีมากขึ้น การดำเนิน ‘นโยบายการคลังแบบขยายตัวพอประมาณ’ ตามที่คาดการณ์ในปีงบประมาณปัจจุบัน โดยอาศัยเงินคงเหลือจากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะสั้น พร้อมแนะต่อว่า รัฐควรจัดสรรงบประมาณไปใช้ในกิจกรรมที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาครัฐควรทำอย่างเฉพาะเจาะจงและใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสูงสุด
“ในบริบทนี้ คณะผู้แทนฯ ยินดีกับการตัดสินใจในการเปลี่ยนจากการให้เงินอุดหนุนผ่านโครงการ Digital Wallet ไปสู่โครงการลงทุนต่าง ๆ และเพิ่มจำนวนเงินช่วยเหลือประกันสังคมให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนทางการคลังในระยะสั้นนี้ควรอยู่ภายใต้แผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลังในระยะปานกลางที่เหมาะสม”
IMF กล่าวต่อว่า หากไม่มีผลกระทบด้านลบที่รุนแรง รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการปรับฐานะทางการคลัง (fiscal adjustment) หรือการเพิ่มเพดานหนี้ และดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลังโดยที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ควรเพิ่มรายได้ของรัฐบาลเพื่อลดการก่อหนี้สาธารณะ รวมถึงการสร้างพื้นที่การคลังสำหรับความจำเป็นในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และทุนทางกายภาพ และเสริมสร้างระบบประกันสังคมให้แข็งแกร่ง
IMF มองไทย ‘ลดดอกเบี้ย’ ได้อีก หนุนอุปสงค์ในประเทศ หลังเงินเฟ้อติดลบ
IMF กล่าวค่อว่า นโยบายการเงินยังมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% หลังจากที่ปรับลดลง 4 ครั้ง รวมทั้งหมด 1% นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า “ยังสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยยังคงไว้ซึ่งขีดความสามารถของนโยบายที่เพียงพอรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”
ทั้งนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในด้านลบ การประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลังจึงมีความจำเป็นเพื่อเสริมสร้างการผสมผสานนโยบาย ขณะเดียวกันยังต้องรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และรักษาความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนไว้เป็นปัจจัยหลักในการรองรับผลกระทบ
มองรัฐบาลลดหนี้-หนุน SME เหมาะสม
“แผนการดำเนินการของรัฐบาลในการลดหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและมูลค่าต่ำ และการเปิดโอกาสให้ครัวเรือนสามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อ หลังจากชำระหนี้หรือลดจำนวนงวดชำระหนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ต้องทำต่อไป โดยต้องให้ความสำคัญกับการรักษาธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเพื่อความสำเร็จของโครงการ
นอกจากนี้ การขยายบริการทางการเงินให้กับ SMEs และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบการจัดสรรทุนผ่านตัวกลางทางการเงินและสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
IMF ยังทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องมี ‘การปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน’ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวและปรับปรุงศักยภาพในการเติบโต โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการค้าและความเชื่อมโยงทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และการยกระดับการส่งออก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบประกันสังคม ธรรมาภิบาล และเพิ่มความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้นโยบายเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น และช่วยการปรับสมดุลภายนอก (external rebalancing)
อ้างอิง:


